นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันนโยบายการแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐบาลเดินมาถูกทางและประสบความสำเร็จกว่าในอดีต โดยใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร ซึ่งมั่นใจจะทำให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและหันมาให้ความร่วมมือกับทางการมากขึ้น ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ระบุไม่มีรัฐบาลชุดใดที่ดำเนินนโยบายเรื่องดังกล่าวผิดพลาด
"รัฐบาลเดินมาถูกทางแล้ว ใช้นโยบายที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่มีทัศนคติที่ดีขึ้นต่อประเทศไทย ต่อรัฐบาลไทย พร้อมกันนี้ยังช่วยไม่ให้พี่น้องประชาชนเห็นดีเห็นชอบกับผู้ก่อการ ส่วนกำลังทหารในพื้นที่นั้นลงไปเพื่อปกป้องคุ้มครองประชาชน ไม่ได้ไปอยู่เพื่อเข่นฆ่าประชาชน เพราะรัฐบาลจะกระทำการใดๆ โดยยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง" นายสุเทพ กล่าวในงานราชดำเนินเสวนาเรื่อง "6 ปี วิกฤตชายแดนใต้ แก้ปัญหาถูกจริงหรือ" ซึ่งจัดโดยสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย
นายสุเทพ กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือ เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา มาเป็นแนวปฏิบัติอย่างจริงจัง ใช้การเมืองนำการทหาร ซึ่งในช่วงวิกฤตต่างๆ กองทัพและฝ่ายการเมืองร่วมกันทำงานอย่างมีเอกภาพ รวมถึงสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน
เมื่อรัฐบาลต้องเน้นนโยบายการพัฒนาจึงจำเป็นต้องร่างแผนพัฒนาขึ้นมาเป็นพิเศษครอบคลุมพื้นที่ 5 จังหวัด คือ ยะลา นราธิวาส ปัตตานี สงขลา และสตูล มีคณะกรรมการรัฐมนตรีพัฒนาพื้นที่พิเศษ 5 จังหวัดพื้นที่ชายแดนใต้ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และตนเองเป็นรองประธาน นอกจากนี้ยังมีคณะกรรมการเร่งรัดฯ ที่มีนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย เป็นประธาน โดยแผนงานดังกล่าวมีเป้าหมายพัฒนา 2 ประการ คือ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เพื่อให้ได้รับบริการจากรัฐอย่างมีมาตรฐาน และให้คนในพื้นที่มีรายได้ดี คือสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีรายได้ 120,000 บาทต่อปี
"ต้องให้ประชาชนได้มีส่วนคิดและร่วมปฏิบัติ โดยใช้กระบวนการประชาคม ซึ่งเริ่มแรกที่ 696 หมู่บ้าน และใช้ 4 เสาหลัก คือ ผู้นำตามศาสนา บุคคลที่ประชาชนเคารพนับถือ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ผู้แทนประชาชน มาร่วมพัฒนา ดังนั้นรัฐบาลจึงมั่นใจว่าเมื่อมี 4 แกนนำหลักมาช่วยคิดจะต้องได้รับการยอมรับจากประชาชนอย่างแน่นอน" นายสุเทพ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลจะเน้นการสร้างอาชีพให้ประชาชนด้วย แต่ขณะนี้มีปัญหากับคน 2 ชุดที่รัฐบาลกำลังหาอาชีพให้ คือ 1.เยาวชน ที่ กอ.รมน.ได้รับมาในโครงการทำดีมีอาชีพ เนื่องจากไม่ต้องการให้เยาวชนกลุ่มนี้หลงผิดเข้าข้างผู้ก่อการ จึงนำมาปลูกฝังทัศนคติใหม่ และ 2.ประชาชนที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ไม่มีศักยภาพประกอบอาชีพทางการเกษตร ซึ่งทางราชการกำลังเร่งดำเนินการโดยทำโครงการในลักษณะโครงการต้นกล้าอาชีพ ซึ่งคงต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควร แต่เชื่อว่าจะสำเร็จก่อนปีงบประมาณ 2553
"หากเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ลงพื้นที่ใต้มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีก็ลงพื้นที่หลายครั้ง สิ่งเหล่านี้จึงน่าจะเป็นหลักฐานที่สามารถบ่งบอกได้ว่าสถานการณ์ภาคใต้ดีขึ้น" นายสุเทพ กล่าว
"รัฐบาลไม่กังวลกับการชี้แจงต่อโอไอซี และเชื่อว่าคงไม่กลายเป็นปัญหาสากล เพราะที่ผ่านกระทรวงต่างประเทศทำงานดีมาก และประเทศมุสลิมเพื่อนบ้าน คือทั้งมาเลเซีย และอินโดนีเซีย รู้และเข้าใจปัญหาของประเทศไทย และยืนยันที่จะเป็นตัวแทนในการร่วมเจรจากับโอไอซีด้วย" นายสุเทพ กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายระบุว่ารัฐบาลใช้งบประมาณแก้ปัญหาดังกล่าวมูลค่ามหาศาลแต่ไม่เห็นแนวทางที่เป็นรูปธรรมนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลต้องเริ่มต้นที่ศูนย์ จึงจำเป็นต้องใช้เวลา ส่วนนโยบายในการแก้ไขปัญหาในปีหน้าโดยหลักการคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะมั่นใจในสิ่งที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว แต่ทั้งนี้คงต้องมีการเร่งรัดการทำงานให้เร็วขึ้น
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า การแก้ปัญหาวิกฤตภาคใต้ นโยบายความมั่นคง และนโยบายรัฐบาลจะต้องสอดคล้องกัน โดยใช้แนวทางการเมืองนำการทหาร โดยวิธีที่ดีที่สุดคือต้องชนะจิตใจประชาชนทั้ง 2 ล้านคน ซึ่งถือเป็นคนกลุ่มใหญ่ ทำให้ประชาชนไว้ใจ ขณะเดียวกันต้องแก้ไขในทุกมิติ ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สังคม สิทธิมนุษยชน
"หากจะวัดความสำเร็จในแก้ไขปัญหา ต้องถามว่าอยากรู้ความสำเร็จของมิติด้านใด ถ้าอยากรู้มิติทางการเมืองต้องถามฝ่ายการเมือง ไม่ใช่โยนมาถามทหารว่าแก้เรื่องการเมืองสำเร็จแค่ไหน" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ผบ.ทบ.กล่าวว่า การชนะจิตใจไม่สามารถทำได้โดยเร็ว ต้องอาศัยเวลา คงไม่จบง่ายๆ เหมือนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่อบรมลูกก็ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต ซึ่งที่ผ่านมาทหารเข้าไปในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เข้าไปเพื่อดูแลพี่น้องประชาชน เพื่อทำให้สถานการณ์คลี่คลายและให้นโยบายทางการเมืองสามารถเข้าไปพัฒนาได้ โดยจะต้องอยู่ใกล้ชิดกับประชาชน สร้างความเข้าใจ และดูแลความปลอดภัยเป็นหลัก รวมทั้งพยายามหาแนวร่วมเพื่อมาฝึกอาชีพ สร้างความเข้าใจ
"ผมขอยืนยันว่าไม่เคยใช้ความรุนแรงกวาดล้างผู้ก่อการ ภารกิจทหารจะตามการเมืองตลอด และอยู่บนแนวทางสมานฉันท์ พยายามสร้างความเข้าใจ แต่คำถามคือเมื่อทหารลงไปแล้วทำไมจึงยังเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ คงตอบได้ว่าเป็นเพราะแม้จะดูแลละเอียดอย่างไรก็อาจมีช่องโหว่บ้าง แต่ทั้งนี้ถ้าเราป้องกันได้มากที่สุด และอีกฝ่ายมีโอกาสน้อย เหตุการณ์ความรุนแรงก็จะลดน้อยลงไปด้วย" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ผบ.ทบ.กล่าวว่า ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาที่ตนเองได้สัมผัส ตั้งแต่รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่มีใครนอกกรอบนโยบาย และใช้การเมืองนำการทหารมาตลอด แต่ขณะนี้มีคนเสนอแนวทางใหม่ คือเสนอให้มีการปกครองตัวเอง แต่ตนเองยังไม่เห็นแนวทาง ดังนั้นตอนนี้คือต้องพยายามให้คนในพื้นที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
"มั่นใจการแก้ไขต้องใช้แนวทางการเมือง 100 เปอร์เซ็นต์ และเชื่อว่าเป็นหนทางเดียวที่จะแก้ปัญหาได้" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่หลายระบุว่างบประมาณในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ที่มีมูลค่ามหาศาลถึง 6.3 หมื่นล้านบาท แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้นั้นเปรียบเหมือนการเก็บงบประมาณเพื่อเลี้ยงไข้ทหารนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า งบประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท เป็นงบที่ใช้ถึงปี 2555 โดยการใช้จ่ายงบประมาณต้องใช้เป็นงวดเป็นขั้นตอน
"ข้อกังวลเรื่องการรั่วไหล เรื่องการทุจริต และการเลี้ยงไข้ทหาร ขอเรียนว่างบทั้งหมดไม่ได้ลงมาที่ทหาร ทหารไม่ได้ถืองบประมาณ แต่ถ้ามีคนทำจริงก็ถือว่าต่ำทรามมาก ซึ่งแนวทางที่จะเดินต่อไปข้างหน้าคือ กองทัพต้องปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเดินตามแนวทางเดิม" พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว