นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปราศรัยเนื่องในวันปีใหม่ว่า ในช่วงต้นปี 2552 ประเทศไทยได้ประสบกับวิกฤติหลายด้าน ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกครั้งใหญ่ ทั้งปัญหาการเมืองที่มีความแตกแยกและลุกลามจนเกิดเหตุความไม่สงบในเดือนเมษายน ทำให้การบริหารบ้านเมือง การฟื้นฟูเศรษฐกิจ ตลอดจนความเชื่อมั่นต่อประเทศที่ถูกผลกระทบอย่างรุนแรง
รัฐบาลจึงได้เร่งแก้ไขปัญหาวิกฤตดังกล่าว โดยในด้านเศรษฐกิจได้ให้ความช่วยเหลือประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ที่กำลังได้รับความเดือดร้อน และดำเนินนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อหยุดยั้งการหดตัวของเศรษฐกิจ มาตรการสำคัญที่รัฐบาลได้ดำเนินการ คือการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พุทธศักราช 2552 จำนวนหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นหกพันเจ็ดร้อย (116,700) ล้านบาท เน้นการเพิ่มรายได้และลดรายจ่ายของประชาชนที่มีรายได้น้อยและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ รวมไปถึงการใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การให้สวัสดิการค่าตอบแทนแก่อาสาสมัครทั่วประเทศ การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาของเยาวชน 15 ปีอย่างมีคุณภาพ การช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนด้วยโครงการ 5 มาตรการ 6 เดือน การช่วยเหลือค่าครองชีพของประชาชนและบุคลากรภาครัฐผ่านโครงการเช็คช่วยชาติ การจัดทำโครงการต้นกล้าอาชีพ การเพิ่มวงเงินสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร การแก้ไขปัญหาการว่างงานและชะลอการเลิกจ้าง การประกาศให้การท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ การดำเนินโครงการประกันรายได้เกษตรกรและโครงการแก้หนี้สินนอกระบบ เป็นต้นพี่น้องประชาชนที่เคารพรัก
การดำเนินมาตรการแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจต่าง ๆ ของรัฐบาลในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาดังกล่าว ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวขึ้น และทำให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 อีกทั้งยังสามารถบรรเทาปัญหาการว่างงานได้อย่างน่าพอใจ
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศอย่างต่อเนื่อง และเพื่อวางรากฐานของประเทศในระยะยาว รัฐบาลได้เริ่มแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ขึ้น โดยจะลงทุนในช่วงปี 2552 ถึงปี 2555 ด้วยเงินกว่า 1.43 ล้านล้านบาท ผ่านโครงการมากกว่า 6,000 โครงการ กระจายไปในทุกภูมิภาคและทุกจังหวัดทั่วประเทศ เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถึง 7 สาขา ทั้งการขนส่งและการสื่อสาร การบริหารจัดการน้ำ การศึกษา การสาธารณสุข การท่องเที่ยว พลังงาน เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ และการยกระดับชุมชน
ปี 2553 นี้ จึงเป็นปีสำคัญของการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง และรัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า แผนปฏิบัติการฯ นี้จะสามารถสร้างงานได้ประมาณปีละ 500,000 ตำแหน่ง จะสามารถลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของประเทศจากปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 19 ของ GDP ให้เหลือเพียงร้อยละ 16 จะมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นจาก 24.5 ล้านไร่ เป็น 25.6 ล้านไร่ จะทำให้จำนวนนักเรียนในประเทศอ่านออกเขียนได้ในอีก 3 ปี ข้างหน้า พี่น้องประชาชนจะสามารถรับบริการสาธารณสุขใกล้บ้านที่มีคุณภาพดีขึ้น จะมีการลงทุนในโครงการเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์มากขึ้น และสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชนผ่านโครงการกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น
ในด้านการเมือง รัฐบาลยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และยึดหลักการทำงานร่วมกับสมาชิกรัฐสภาตลอดเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ที่จะแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมือง โดยให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย ภายใต้กฎกติกาเดียวกันโดยไม่ใช้ความรุนแรงหรือการกระทำใด ๆ ที่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของส่วนรวม
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการแก้ไขปัญหาภาคใต้ว่า มั่นใจว่าตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แนวทางการแก้ปัญหาภาคใต้เดินมาถูกทาง เพียงแต่ต้องเร่งให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเน้นการพัฒนาพื้นที่ รวมทั้งโครงการต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาให้เป็นรูปธรรมอย่างเร็วเช่นกัน ซึ่งต้องยอมรับว่ารัฐบาลได้นำงบประมาณเข้าไปพัฒนาในพื้นที่ได้เพียง 3-4 เดือน คาดว่าปีนี้จะมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม รวมทั้งความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน จะมีประสิทธิภาพชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกันการนำกฎหมายใหม่มาใช้แทนกฎอัยการศึกจะเป็นสิ่งสำคัญ ที่ทำให้การทำงานทุกฝ่ายมีประสิทธิภาพขึ้น
ส่วนการใช้กฏหมายความมั่นคง เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดถึงแนวทางของรัฐบาลนี้ แทนการใช้กฎอัยการศึก และหากสามารถทำได้เรียบร้อยก็จะขยายผลไปอีก 3 จังหวัดภาคใต้ นั่นคือรูปธรรมที่สุดของการพลิกสถานการณ์
นายกรัฐมนตรี มั่นใจกฏหมายใหม่จะเป็นหัวใจที่ช่วยรองรับการทำงานของเจ้าหน้าที่ ในพื้นที่ให้สามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ฝ่ายความมั่นคง ดูแลรักษาความปลอดภัยได้ ลดเงื่อนไขของการที่อาจจะมีการใช้อำนาจในทางที่ผิด
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการใช้งบประมาณที่ลงไปดำเนินการว่า ไม่แตกต่างจาการใช้งบประมาณอื่น โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีโครงการเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินการ สำหรับระยะเวลา ที่จะให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน หากดูตัวเลขของการเกิดเหตุแล้วลดลง เมื่อเทียบกับ 4 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งความร่วมมือในพื้นที่ได้มีการพัฒนาปรับปรุงแล้ว