ทีมทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกกล่าวหาในคดีที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สั่งยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากร่ำรวยผิดปกติ ได้ยื่นคำแถลงปิดคดีตามคำสั่งศาลฎีกาฯ โดยระบุข้อกล่าวหาของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) เลื่อนลอย
สำหรับคำแถลงปิดคดีของอดีตนายกรัฐมนตรีมีความยาว 162 หน้า โดยสรุปได้ว่า ข้อกล่าวหาทั้งหมดของ คตส.เป็นพียงการสันนิษฐาน คาดเดา และการจงใจบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่มีมูลความจริง ปราศจากหลักฐานสนับสนุนข้อกล่าว และขัดแย้งกับเอกสารทั้งหมดของราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งขัดแย้งคำเบิกความของพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานรัฐทุกหน่วยงาน
"ไม่มีเหตุที่จะฟังว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาให้บุตรและญาติพี่น้องถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) ไว้แทนโดยไม่เชื่อว่ามีการซื้อขายหุ้นจริง แต่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดแจ้งจากทั้งพยานบุคคลและเอกสาร ตลอดจนพฤติการณ์ที่เกี่ยวข้องว่า เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจำนวน 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลอีกจำนวน 6,898,722,129 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 76,621,603,061.05 บาท เป็นของผู้ที่รับโอนหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส ไม่ใช่เงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาและคู่สมรส จึงไม่ใช่เงินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ อัยการสูงสุดซึ่งเป็นผู้ร้องคดีนี้จึงไม่มีสิทธินำมาร้องขอให้เงินนั้นตกเป็นของแผ่นดิน" คำแถลงปิดคดี ระบุ
ที่สำคัญข้อเท็จจริงยุติจากการไต่สวนแล้วว่า การออกมาตรการต่างๆ ทั้ง 5 ข้อ ได้แก่ 1.การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคม เป็นภาษีสรรพสามิต ด้วยการตรา พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพาสามิต 2.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่(Cellular Mobile Telephone) เมื่อวันที่ 15 พ.ค.44 ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ที่ต้องจ่ายให้ บมจ.ทีโอที จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรเติมเงิน(Prepaid Card) ให้ บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์เซอร์วิส(ADVANC) หรือ AIS เป็นร้อยละ 20 จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30
3.กรณีแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่เมื่อวันที่ 20 ก.ย.45 ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม( Roaming ) เอื้อประโยชน์ SHIN และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มีผลให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 18,970,579,711 บาท ให้กับ บมจ.ทีโอที และ บมจ. กสท โทรคมนาคม กรณีอนุมัติโครงการยิงดาวเทียม IP STAR การอนุมัติแก้ไขสัญญาสัมปทานลงวันที่ 27 ต.ค.47 การอนุมัติให้ใช้เงินค่าสินไหมทดแทน ดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ เอื้อประโยชน์ SHIN และ บมจ.ชินแซทเทิลไลท์(SATTEL)
และ 5.กรณีอนุมัติให้รัฐบาลสหภาพพม่า กู้เงินธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงค์ จำนวน 4,000 บาทในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุน และขยายเวลาปลอดการชำระหนี้จาก 2 เป็น 5 ปี เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมของพม่าจาก SATTEL ไม่ได้ทำให้หุ้น SHIN มีราคาสูงขึ้นผิดปกติ แต่ราคาหุ้นขึ้นลงไปทิศทางเดียวกันกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในอัตราที่ใก้ลเคียงกันตลอดเวลา
"เงินที่ได้จากการขายหุ้นทั้งหมดจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการร่ำรวยผิดปกติ หรือได้ทรัพย์มาโดยไม่สมควรตามข้อกล่าว คำร้องดังกล่าวจึงไม่มีข้อเท็จจริงที่เข้าองค์ประกอบและหลักเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด อีกทั้งมาตรการ 5 ข้อนั้นพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเบิกความสอดคล้องกันว่าเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน ไม่มีความเสียหายตามข้อกล่าวหาของ คตส.เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด โดยข้อเท็จจริงปรากฏต่อศาลแล้วว่า หุ้นบริษัทในคดีนี้เป็นของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาที่ได้มาจากการทำมาหากินโดยสุจริตด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองเป็นเวลาหลายสิบปีก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเข้าทำงานทางการเมือง และการขายหุ้นนั้นไม่ใช่เงินที่ได้มาโดยการทุจริต คดโกงประเทศชาติ หรือเบียดบังจากงบประมาณแผ่นดินหรือเงินอื่นใดของรัฐแม้แต่บาทเดียว" คำแถลงปิดคดี ระบุ
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า ช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริตใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากาษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ให้ผู้ถูกกล่าวหาและผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย
นอกจากคำแถลงปิดคดีแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังตั้งข้อสังเกตว่า การออกคำสั่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนและการตั้งข้อกล่าวหาคดีนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะมติ คตส. ให้อำนาจเพียงเป็นการแต่งตั้งอนุกรรมการไต่สวนกรณีกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำผิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจของตนเองหรือพวกพ้อง ซึ่งเป็นความผิดอาญาและการเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิดทางแพ่ง ไม่เกี่ยวกับการร่ำรวยผิดปกติหรือได้ทรัพย์สินมา โดยไม่สมควรสืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 รวมทั้งการตั้งข้อสังเกตว่า กระบวนการไต่สวนของ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติกฎหมาย รวบรัดชี้มูลความผิดก่อนที่กระบวนการพิสูจน์ทรัพย์จะเสร็จสิ้นและอัยการสูงสุดไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง รวมทั้งประเด็นที่นายกล้านรงค์ จันทิก, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายบรรเจิด สิงคะเนติ กรรมการ คตส. และอนุกรรมการไต่สวนฯ เป็นบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับผู้ถูกกล่าวหา
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑ์ประศาสน์ ทนายความของอดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฏในชั้นไต่สวน ทำให้เรายังมั่นใจ 100% และยืนยันว่าทรัพย์สินที่ร้องในคดีได้มาโดยสุจริต ส่วนกรณีที่มีข่าว พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์ซุกซ่อนในต่างประเทศ และมีส่วนหนึ่งที่ถูกยึดอายัดไว้ในประเทศอังกฤษนั้นไม่เป็นความจริง เป็นการสร้างข่าวเพื่อหวังทำลายภาพพจน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ยังมีทรัพย์สินซุกซ่อนไว้ตามที่ต่างๆ อีก
ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีนี้ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ เวลา 13.00 น.