นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เผยยื่นเรื่องให้ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ตรวจสอบพฤติกรรมของนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ว่ากระทำการอันต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 268 และ 266(1) ว่าด้วยการห้ามมิให้ ส.ส.และ ส.ว.ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็นก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่น หรือของพรรคการเมือง ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม กรณีทำหนังสือเสนอแนวทางการทำงานในหน้าที่ราชการถึงนายกรัฐมนตรี
โดยมีเนื้อหาสาระบางส่วนที่มีลักษณะเป็นการกระทำที่เข้าข่ายก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาคดีต่างๆ โดยในข่าวได้อ้างถึงหนังสือที่ กต.1303/2555 วันที่ 16 พ.ย.52 และหนังสือที่ กต.1302/2318 ลงวันที่ 10 พ.ย.52 เรื่องแนวทางการดำเนินการกับปัญหาความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนข้อที่ 2 ว่าด้วยเรื่องแนวทางการดำเนินการ ในข้อ 2.4 ตอนหนึ่งที่ระบุว่า ให้มีเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ เพราะการพิจารณาคดีต่างๆ เป็นเรื่องอำนาจตุลาการ
"ผมเห็นว่าการมีหนังสือราชการของรัฐมนตรีต่างประเทศไปยังนายกรัฐมนตรี โดยเสนอให้มีการเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยังคั่งค้างอยู่นั้น การกระทำดังกล่าวของรัฐมนตรีต่างประเทศในฐานะผู้เสนอนั้นอาจจะมีลักษณะเข้าไปก้าวก่ายการทำหน้าที่ของศาลที่ถือเป็นข้าราชการฝ่ายตุลาการ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม ซึ่งต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 จึงอยากให้ กกต.ตรวจสอบว่าผลของการทำหนังสือดังกล่าวนั้นจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกษิตสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(7) หรือไม่อย่างไร" นายเรืองไกร กล่าว
เนื่องจากการพิจารณาคดีนั้น รัฐธรรมนูญ มาตรา 197 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีเป็นอำนาจของศาล ซึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปโดยยุติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ ตามกฎหมาย และในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์" ดังนั้นการพิจารณาคดีกับการพิพากษาคดี จึงเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลมิใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงได้
อีกทั้งรายละเอียดของข้อ 2.4 เรื่องแนวทางดำเนินการระบุว่า "การลดและแยกการเชื่อมโยงระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชาและฝ่ายค้านในประเทศไทย ด้วยการลดและขจัดเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินการของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล โดยรัฐบาลควรแสดงท่าทีและความเห็นต่างๆ อย่างมีเอกภาพและเป็นระบบการตอบโต้รัฐบาลกัมพูชาอย่างสุขุม มีสติ ไม่วู่วาม และกระทบประชาชนน้อยที่สุด จะมีส่วนสำคัญในการครองความนิยม ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลที่สำคัญควรเร่งแปรความรู้สึกสะใจ หรือสนับสนุนรัฐบาลเป็นความเข้าใจ โดยอาศัยการประชาสัมพันธ์ และบริหารจัดการ"เวลา" ให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลไทยที่สุด โดยการเร่งการพิจารณาคดีต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ยังคั่งค้างอยู่"