นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวว่า ไม่มีแนวความคิดที่จะปรับลดงบประมาณโครงการถนนปลอดฝุ่นในโครงการไทยเข้มแข็ง เพียงแต่เห็นว่าเงินที่จะมาทำโครงการนี้ควรมาจากงบปกติไม่ใช่มาจากเงินกู้ระยะยาว เพราะการกู้เงินภายใต้ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ควรนำไปใช้ในโครงการใหญ่ๆ เช่น จัดระบบชลประทาน รถไฟรางคู่ หรือแลนด์บริดจ์ มากกว่า
"โครงการถนนไร้ฝุ่นนั้นเราคำนวณผลไม่ได้ในทางเศรษฐกิจ และไม่ใช่โครงการสำหรับแก้ปัญหาเศษฐกิจ แต่เป็นการดูแลทางสังคมเพื่อไม่ให้คนต้องโดนฝุ่นเข้าปาก เข้าปอดจนเป็นโรคหลอดลมอักเสบ เป็นโรคปอด"นายไตรรงค์ กล่าว
"ปี 51-52 เศรษฐกิจตกต่ำ พวกเราก็แก้ไขปัญหาระยะสั้นตามหลักเศรษฐศาสตร์ที่ใช้กันทั้งโลก ซึ่งโครงการถนนปลอดฝุ่นมีความจำเป็นในขณะนั้น สามารถที่จะใช้เงินกู้ได้ แต่ต้องทำให้เสร็จภายใน 1 ปี และทำให้ทั่วทุกตำบล แต่เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การจะกู้เงินตามพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านเพื่อเอามาใช้จ่ายแบบนั้นมันไม่ได้ มันผิดหลักเศรษฐศาสตร์" นายไตรรงค์ กล่าว
นายไตรรงค์ กล่าวว่า สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ได้ทำวิจัยการปรับปรุงถนนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ถนนไร้ฝุ่น ซึ่งการสร้างถนนในประเทศไทยมีมากเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น การสร้างถนนควรจะมีอัตราเพิ่มที่ต่ำลง เช่นปีนี้เพิ่ม 10% ปีหน้าเพิ่ม 9% เพราะโครงการส่วนอื่นที่ยังขาดแคลนหรือต้องการการปรับปรุง เช่น รถไฟรางคู่ ระบบชลประทาน ควรจะมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี
"ไม่มีนัยทางการเมืองอะไร ผมรักกับทุกคน ใครตั้งใจทำอะไรผมก็สนับสนุน"นายไตรรงค์กล่าว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจนายไตรรงค์ว่า การจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้พัฒนาประเทศคงต้องเป็นไปตามความเหมาะสม เชื่อว่านายไตรรงค์จะเข้าใจการทำงานในรัฐบาลผสม เวลาจะทำอะไรต้องปรึกษาหารือกัน ซึ่งข่าวที่ออกมาอาจดูหวือหวาไปหน่อย คิดว่าหากจะปรับเพิ่มหรือลดงบประมาณคงต้องปรึกษากันก่อน
พร้อมเชื่อว่า คงไม่เกิดปัญหาการทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล จนถึงขั้นทำให้เกิดการย้ายขั้วไปจับมือกับพรรคเพื่อไทย เพราะเชื่อว่ายังอยู่ในวิสัยที่พูดคุยกันได้ตลอดเวลา
"ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ยังไม่เห็นว่ายังเป็นปัญหา หน้าที่ในการพูดคุยกับพรรคร่วมตนจะทำต่อไป เพราะเรามีหน้าที่ดูแลประเทศไทย ดูแลแผ่นดินและรักษาสถาบัน ให้ราบรื่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่การทำงานร่วม หากมีเรื่องจุกจิกเล็กน้อยบ้างก็ไม่ถือสากัน เมื่อมีการพูดคุยกันแล้วทุกฝ่ายควรที่จะมีการยอมรับในความคิดเห็นของแต่ละคน แต่สุดท้ายต้องมีข้อสรุปที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน" นายสุเทพ กล่าว