คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย(ทรท.) ระบุว่า รู้สึกตกใจและเสียใจที่ถูก ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พท.) ออกมาต่อว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยเป็นความเข้าใจผิดคิดว่าตนเองอยู่เบื้องหลังคอยขัดขวางไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่พยายามผลักดันคนใกล้ชิดอย่างนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม.พรรค พท.เป็นนายกรัฐมนตรี
"รู้สึกตกใจและเสียใจมาก ถ้าเราทำจริงก็เป็นอีกเรื่อง แต่ก็โดนแรง ซึ่งดูได้จากชื่อสุดารัตน์เฉยๆ แต่ถูกเปลี่ยนเป็น จุด จุด จุด สุดารัตน์ ใครโดนก็คงรู้สึก ดิฉันขอร้องอย่าเอาไปเป็นเหยื่อ เพราะไม่ได้ทำเพื่อต้องการเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะไม่สามารถเป็นได้ ข่าวที่ว่าจะดันคุณวิชาญ (มีนชัยนันท์) ก็ไม่สามารถทำได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ที่ ส.ส.เพื่อไทยมาคุย พูดแต่เรื่องส่วนรวม คุยเฉพาะเรื่องในพื้นที่และให้กำลังใจ ไม่ได้ให้ร้ายใคร ไม่คิดเสนอหน้า เสนอแนะพรรคเพื่อไทย เสนอใครเป็นนายกฯ แม้เป็นผู้หญิงแต่ก็ไม่เคยทำอะไรลับหลัง" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
อดีตกรรมการบริหารพรรค ทรท.กล่าวว่า ตนเองไม่ใช่ผู้มีอิทธิพลที่จะสามารถผลักดันใครได้ และทุกวันนี้ก็ยอมรับสภาพที่ตกเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมืองได้ แต่ก็ยังเอาใจช่วยพรรคเพื่อไทยอยู่ห่างๆ และไม่อยากให้ตัวเองไปเป็นปัญหากับพรรค
"ไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงของเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ยืนยันว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว ดังนั้นอย่ามายุ่งกับดิฉัน เพราะดิฉันไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุคคลดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องไปขัดขวาง เรื่องการเสนอตัวหัวหน้าพรรคก็เป็นเรื่องของผู้บริหารพรรคเพื่อไทยที่จะพิจารณา" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
อดีตกรรมการบริหารพรรค ทรท.กล่าวว่า สาเหตุของปัญหาดังกล่าวอาจเกิดจากจุดเล็กๆ ที่มี ส.ส. กทม.พรรคเพื่อไทยคนหนึ่งตอบคำถามนักข่าวเรื่องความเหมาะสมของคนที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อดีตกรรมการบริหารพรรค ทรท.ยังกล่าวถึงคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า รู้สึกเหมือนคนไทยส่วนใหญ่ที่หนักใจกับสภาพบ้านเมืองที่เป็นอยู่ เพราะการตัดสินคดีนี้เป็นปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญ ดังนั้นจึงอยากให้มองส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และการตัดสินควรเป็นไปด้วยความยุติธรรมอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบใดจะต้องอธิบายต่อสาธารณชนได้ ทั้งหลักของกฎหมายและหลักยุติธรรม
"สิ่งที่เกิดขึ้นมีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ จึงขอให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้เหตุผล เอาสติ และผลประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง จึงจะฝ่าวิกฤตไปได้ กลุ่มคนเสื้อแดงต้องไม่ตกเป็นเหยื่อใช้ความรุนแรง ขณะที่รัฐบาลต้องไม่ใช้กำลัง เพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลาย และเห็นว่าการปฏิวัติจะทำให้บ้านเมืองถอยหลังและตกอยู่ในหลุมดำ" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังรู้สึกหนักใจที่รัฐบาลไม่เป็นกลาง มีการให้ร้ายอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ความสามัคคีไม่เกิดขึ้น และเห็นว่าที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามถ้อยแถลงต่อรัฐสภาในการเร่งให้เกิดความสมานฉันท์และความสงบสุขในบ้านเมือง
"อยากให้รัฐบาลตั้งสติและมีวุฒิภาวะ โดยเฉพาะในช่วง 2 สัปดาห์ต่อจากนี้ ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว