สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต เปิดเผยผลการระดมความคิดเห็นของประชาชนเพื่อไม่ให้เหตุการณ์บ้านเมืองวุ่นวายและบานปลาย ในช่วงใกล้ถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.พ.53
โดยพบว่าสิ่งที่ "ประชาชน" จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้นั้น ส่วนใหญ่ 35.58% ระบุว่า ประชาชนต้องไม่ควรยุ่งเกี่ยวหรือออกมาชุมนุม เพราะเป็นอำนาจของศาลหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รองลงมา คือ ไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด วางตัวเป็นกลาง และรับฟังข้อมูลข่าวสารอย่างรอบคอบ, การใช้สติในการรับฟัง พิจารณาข้อมูลข้อเท็จจริง เหตุผลต่างๆ อย่างรอบคอบ
ส่วน "นักการเมือง" จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้นั้น ส่วนใหญ่ 39.85% ระบุว่า นักการเมืองต้องวางตัวเป็นกลาง มีเหตุผล รับฟังข้อมูลอย่างรอบคอบ รองลงมา คือ ไม่โต้ตอบกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่พูดใส่ร้ายป้ายสีหรือให้ร้ายผู้อื่น, ไม่ควรปลุกเร้าหรือสร้างกระแสให้ประชาชนเข้าใจคลาดเคลื่อน เกิดความแตกแยก
ขณะที่ "รัฐบาล" จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้นั้น ส่วนใหญ่ 45.56% เห็นว่า รัฐบาลต้องทำตัวเป็นกลาง ไม่สนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และสร้างความสามัคคีในรัฐบาล รองลงมา คือ หาแนวทางยุติเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น โดยอยู่บนพื้นฐานของกฎหมาย และไม่ใช้ความรุนแรงจนทำให้เกิดความเสียหายหรือสูญเสีย, ทำหน้าที่ในการบริหารงานให้เต็มที่ ทำทุกวิถีทางให้บ้านเมืองสงบอย่างยุติธรรม โปร่งใส
ส่วน "ฝ่ายค้าน" จะช่วยไม่ให้เหตุการณ์บานปลายได้นั้น ส่วนใหญ่ 43.68% เห็นว่า ฝ่ายค้านต้องไม่ปลุกระดมหรือพูดจายั่วยุ ไม่พูดจาโต้ตอบโจมตีกันไปมา รองลงมา คือ ปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างเต็มที่, ควรคำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์ของพวกพ้องหรือตนเอง
นอกจากนี้ ยังถามความเห็นของประชาชนว่าหวังพึ่งอะไรมากที่สุดที่จะทำให้เหตุการณ์ไม่บานปลายและวุ่นวาย พบว่า อันดับ 1 ประชาชน 47.37% หวังพึ่งตนเอง โดยตั้งสติ จิตสำนึกรักประเทศชาติ เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ อันดับ 2 ประชาชน 32.89%หวังพึ่งศาล โดยอาศัยความยุติธรรม กระบวนการยุติธรรมของศาลในการตัดสินใจ อันดับ 3 ประชาชน 13.16% ไม่รู้จะพึ่งใครได้ หวังพึ่งอะไรหรือใครคงเป็นไปได้ยาก และอันดับ 4 ประชาชน 6.58% หวังพึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ และทหารในการปฏิบัติงานอย่างยุติธรรม
ผลสำรวจดังกล่าว มาจากการระดมความเห็นของประชาชน 1,097 คน ระหว่างวันที่ 14-16 ก.พ.53