นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างร่วมรายการ"คุยข่าวกับคนข่าววิทยุ" ที่สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ถนนวิภาวดีรังสิต ว่า วันอังคารที่ 23 กุมภพันธ์นี้ จะนำเรื่องการยกเว้นภาษีอสังหาริมทรัพย์เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อหารือว่าจะต่ออายุหรือไม่ เพื่อให้ประชาชนได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ หากไม่มีการต่ออายุ ส่วนภาษีที่ดินจะนำเข้าสู่การพิจารณาได้ภายใน 2 สัปดาห์
ขณะที่การต่ออายุมาตรการช่วยค่าครองชีพประชาชนที่จะหมดในวันที่ 31 มีนาคมนั้น จะต่อเพียง 4 มาตรการ คือ รถเมล์ รถไฟ ค่าไฟ และแก๊สหุงต้ม ส่วนค่าน้ำจะมีการยกเลิก เนื่องจากประชาชนที่มีฐานะได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก
แต่มาตรการช่วยเหลือด้านน้ำประปาจะต้องยกเลิก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้กำหนดเงื่อนไขการใช้น้ำที่ 20 คิวต่อเดือนจึงจะไม่ต้องจ่ายค่าน้ำ
โดยสาเหตุที่ยกเลิกนั้นเนื่องจากพบว่าคนที่ได้ประโยชน์คือคนที่มีฐานะดีอยู่แล้ว แต่คนยากจนส่วนใหญ่จะใช้น้ำประปาหมู่บ้าน ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 31 มีนาคมนี้
ส่วนรถเมล์ฟรี รถไฟฟรี การช่วยเหลือด้านไฟฟ้า และ ก๊าซหุงต้ม รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายช่วยเหลือประชาชนทั้งในส่วนของ
นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงความคืบหน้าการเดินสายไฟไปยังพื้นที่ห่างไกล ว่า พื้นที่ที่สามารถลากสายไฟฟ้าเข้าไปได้และใช้ต้นทุนไม่สูงมาก การไฟฟ้าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้หรือปีหน้า แต่ในพื้นที่ที่ห่างไกลมากและใช้ต้นทุนสูง ก็ได้ให้สำรวจความเป็นไปได้ในการใช้พลังงานทดแทน
ส่วนปัญหามาบตาพุด ว่า ขณะนี้รัฐบาลสามารถหาจุดที่เหมาะสมได้แล้ว โดยการวางกติกา ให้นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนดำเนินการตามกติกาใหม่ บนพื้นฐานของความสมัครใจ เพราะศาลยังไม่ได้ชี้ในคดีหลัก ว่าจะต้องดำเนินการหรือไม่ และคิดว่าใช้เวลาไม่ตำกว่า 6 เดือน กระบวนการทุกอย่างจะเสร็จสิ้น มีใบอนุญาตถูกต้องตามมาตรา 67 วรรค 2
อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้น จะเป็นเฉพาะกลุ่มนี้เท่านั้น สำหรับนักลงทุนกลุ่มใหม่ที่จะเข้ามาก็จะมีความชัดเจนเรื่องของกติกามากขึ้น
นอกจากนี้ นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงการกู้เงิน 8 แสนล้านบาทของรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ว่า เกิดจากปีที่แล้วเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ซึ่งหากต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ต้องกู้ยืมเงิน แต่เงินที่กู้จำนวน 8 แสนล้านบาทไม่ได้ทำให้ภาวะหนี้สินของประเทศเกินตัว เมื่อเทียบกับหลายประเทศยังถือว่าอยู่ในขั้นต่ำ สามารถบริหารจัดการได้ และเชื่อว่าเมื่อเศรษฐกิจเริ่มขยายตัวจะไม่ต้องเก็บภาษีเพิ่มเพื่อนำเงินไปใช้หนี้ เพราะปัญหาสามารถแก้ได้เองเมื่อเศรษฐกิจเติบโตขึ้น ขณะนี้เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม การจ้างงาน การขยายตัวด้านเศรษฐกิจ การส่งออก และการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถจัดเก็บรายได้เกินกว่าเป้าหมายกำหนด 2 แสนล้านบาท
ดังนั้น ให้ความมั่นใจได้ว่าการกู้เงินดังกล่าวจะไม่สร้างปัญหาให้กับประชาชนโดยการเก็บภาษีเพิ่มอย่างแน่นอน ทั้งนี้หากรายได้ของประเทศเพิ่มขึ้นเพียงพอ การกู้เงินอีก 4 แสนล้านบาทที่เหลืออาจไม่จำเป็นต้องกู้เพิ่ม หรือกู้ไม่เต็มจำนวนที่กำหนดไว้
ส่วนโครงการขายสลากออนไลน์ ที่ยังไม่มีความชัดเจนนั้น ได้รับรายงานของคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องนี้แล้ว โดยมีข้อสังเกตเกี่ยวกับข้อกฎหมายในบางประเด็น ซึ่งได้ทำหนังสือไปถึงอัยการสูงสุด และคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว แต่ยังมีปัญหาที่ตามมา ทั้งวิธีท , สัญญา ที่เป็นเรื่องของข้อกฎหมาย ต้องรอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความเห็นมา โดยพิจารณาทางเลือกที่ไม่นำไปสู่หวยบนดิน คือ การเล่นหวย 2 ตัว 3 ตัว ที่ผ่านจากเครื่องขายสลากออนไลน์ ซึ่งการนำเครื่องดังกล่าวมาใช้ จะเป็นการนำมาใช้ทดแทนสลากที่พิมพ์จำนวนหนึ่ง ไม่มีการเพิ่มปริมาณการพนัน แต่จะมีช่องทางการเปลี่ยนแปลงการจำหน่ายสลาก เชื่อว่าหากทำวิธีดังกล่าวแล้ว โดยไม่มีการพิมพ์สลากเพิ่ม และจัดสรรโควต้าใหม่ น่าจะเป็นการแก้ปัญหาสลากเกินราคาได้ ขณะนี้จึงรอข้อกฎหมายที่ยังไม่ชัดเจนอยู่
"ยืนยันว่า ตนเองและพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับโครงการหวยบนดิน หวยใต้ดิน หรือ สลากเกินราคา ไม่ได้ต้องการทำโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงอะไรที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ และส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวมาตลอด เพราะการนำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายจะยิ่งทำให้ประชาชนหันมาเล่นการพนันมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนที่เพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่ไม่ได้คาดหวังจะให้หวยบนดิน หรือใต้ดินหมดไป จึงยังทำสลากกินแบ่งอยู่ แต่พยายามจำกัดจำนวนลง ซึ่งเริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนแล้ว ส่วนสลากเกินราคา ยอมรับว่ายังไม่สามารถแก้ไขได้ โดยราคาจะแกว่งตัวแล้วแต่เทศกาล ซึ่งจะต้องรื้อโควต้าและวิธีการจำหน่ายใหม่ และนำเครื่องขายสลากออนไลน์มาใช้เชื่อว่าจะแก้ปัญหาดังกล่าว เพราะเชื่อว่าการเพิ่มจำนวนสลาก จะยิ่งทำให้มีการขายเกินราคามากกว่า"นายกรัฐมนตรี กล่าว
*วอนทุกฝ่ายเคารพการตัดสินคดียึดทรัพย์ของศาล
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรับมือสถานการณ์การชุมนุมที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเดือนนี้จนถึงเดือนมีนาคม ได้ซักซ้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งถือว่ามีประสบการณ์ในการรับมือ อีกทั้งยังเตรียมพร้อมเครื่องมือ บุคลากร และกฎหมายรองรับ
โดยยืนยันว่า การใช้สิทธิ์ชุมนุมของประชาชนสามารถทำได้ แต่หน้าที่ของรัฐบาลคือไม่ให้ใช้ความรุนแรง และถ้าหากการชุมนุมแปลงสภาพไปเป็นการก่อจลาจล ก็จะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาดภายใต้อำนาจหน้าที่ แต่จะหลีกเลี่ยงการใช้กฎหมายพิเศษโดยไม่จำเป็น และยืนยันรัฐบาลไม่ต้องการให้เกิดอุบัติเหตุทางการเมือง และไม่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย
สำหรับในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นวันที่จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยการตัดสินคดีทุกคดีนั้นเป็นกระบวนการของศาล ซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการที่เปิดเผยและเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้ต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่ทราบคำตัดสินของศาลล่วงหน้า แต่หวังว่าเมื่อศาลพิพากษาก็อยากให้ทุกคนได้ฟัง เพื่อจะได้ทราบรายละเอียด ลำดับข้อเท็จจริง รวมไปถึงข้อกฎหมาย
"ต้องการให้ทุกคนเคารพศาล เพราะถ้าไม่เคารพศาลทุกอย่างในบ้านเมืองก็จะไม่มีจุดจบ ต่อไปวันข้างหน้าก็จะไม่มีกฎกติกาในบ้านเมือง"นายกรัฐมนตรีกล่าว
ทั้งนี้ ยังไม่เชื่อว่าพรรคฝ่ายค้านจะเสนอชื่อคนในรัฐบาลมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ยืนยันว่า หากมีการยื่นญัตติตามรัฐธรรมนูญก็จะ เดินหน้าอภิปรายชี้แจงต่อไป