รัฐบาลออสเตรเลียมีแผนใช้จ่ายเงิน 69 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (62 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในระยะเวลา 4 ปี เพื่อปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของประเทศให้สามารถรับมือกับภัยก่อการร้ายที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่เกิดและเติบโตในออสเตรเลียเอง
โดยในวันนี้ นายกรัฐมนตรีเควิน รัดด์ ได้เผยแพร่เอกสารปกขาวเรื่องการต่อต้านการก่อการร้าย (Counter-Terrorism White Paper) ซึ่งเป็นที่รอคอยของหลายฝ่าย รัดด์กล่าวว่า ภัยคุกคามดังกล่าวไม่มีทีท่าว่าจะลดลง และที่สำคัญคือภัยนั้นมาจากผู้ที่ยึดมั่นและศรัทธาในหลักคำสอนของศาสนาอิสลามที่ถูกบิดเบือนและถูกตีความโดยกลุ่มหัวรุนแรงซึ่งได้รับการหนุนหลังโดยกลุ่มก่อการร้ายต่างๆ อาทิ อัลกออิดะห์
นายกฯออสเตรเลียกล่าวว่า ตอนนี้ ออสเตรเลียกำลังเผชิญกับภัยก่อการร้ายที่เพิ่มขึ้นจากผู้ที่เกิดหรือโตในออสเตรเลีย ซึ่งคนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลมาจากเรื่องเล่าเกี่ยวกับสงครามจีฮัด พร้อมกับเสริมว่า หย่วยงานด้านข่าวกรองของรัฐบาลได้ประเมินว่า การก่อการร้ายเป็นปัญหาที่ยืดเยื้อและอาจจะกลายเป็นปัญหาถาวรต่อความมั่นคงของออสเตรเลีย
ทั้งนี้ การปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยของรัฐบาลออสเตรเลียในครั้งนี้ รวมถึงการซื้อเครื่องตรวจสอบทางชีวภาพสำหรับผู้ขอวีซ่าในประมาณ 10 ประเทศ โดยจะมีการใช้เครื่องตรวจลายนิ้วมือและสแกนใบหน้าเพื่อชี้ตัวผู้ก่อการร้ายหรือผู้ต้องสงสัยว่าจะก่อการร้ายก่อนที่บุคคลเหล่านี้จะเดินทางเข้ามาในออสเตรเลีย
รัฐบาลออสเตรเลียกล่าวว่า จะไม่ระบุรายชื่อ 10 ประเทศดังกล่าวจนกว่าจะเริ่มประกาศใช้มาตรการ อย่างไรก็ตาม ในการให้สัมภาษณ์กับสถานีวิทยุเอบีซีของออสเตรเลีย รมว.ต่างประเทศ สตีเฟน สมิท ได้เน้นไปที่ภัยจากผู้ก่อการร้ายในเยเมนและโซมาเลีย
นอกจากนี้ เอกสารปกขาวยังได้เผยให้เห็นถึงแผนการจัดตั้งศูนย์ควบคุมการปราบปรามการก่อการร้าย เพื่อการประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานด้านข่าวกรองทั่วประเทศได้ดียิ่งขึ้น