พล.อ.สมชาย วิษณุวงศ์ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษามาตรการเตรียมความพร้อมในการรองรับการชุมนุมของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเชิญ พล.ต.ท.ประยูร อำมฤติ ผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ, พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบกและรองเลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน
นายทรงพล เอี่ยมบุญฤทธิ์ ที่ปรึกษากรรมาธิการทหาร ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีความพร้อมในการเตรียมรับมือเหตุการณ์การชุมนุม โดยเฉพาะเครื่องมือที่จะใช้คือปืนลูกซองที่ใช้กระสุนยางที่ได้นำออกมาทดลองที่กรมทหารราบ 11 ที่ผ่านมา ซึ่งเห็นว่าเป็นภาพที่ดูไม่ดี เพราะตามข้อเท็จจริงควรใช้ปืนยิงแห ซึ่งจะดูนุ่มนวลกว่า เพราะแม้จะเป็นกระสุนยางแต่หากยิงในระยะใกล้กว่า 20 เมตร ก็จะทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บรุนแรง ขณะที่ปืนยิงแหแม้ใช้ในระยะ 10 เมตร ก็ไม่ทำให้ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บ
นายทรงพล ยังแสดงความกังวลว่าจากความไม่พร้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรับมือกับผู้ชุมนุมดังกล่าวอาจจะทำให้ทหารต้องเข้ามาช่วยควบคุมสถานการณ์ ซึ่งถือว่าน่ากังวลมาก
ด้านพล.ต.ท.ประยูร ยอมรับว่าการเตรียมความพร้อมโดยเฉพาะกองกำลังที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะมีจำนวนน้อย คือ ทั้งประเทศมีไม่ถึง 3 กองร้อย รวมทั้งยังติดขัดในเรื่องของงบประมาณ ซึ่งความจริงแล้วสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก็ต้องการเครื่องมือเหล่านี้ แต่จากงบประมาณที่มีอยู่จะต้องประเมินการจัดซื้อว่าอุปกรณ์ใดมีความจำเป็นมากกว่ากัน
พร้อมยืนยันว่าจะไม่ดำเนินการซ้ำรอยกับเหตุการณ์การชุมนุมครั้งที่ผ่านมา และจะยึดหลักสากลในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะตำรวจได้รับบทเรียนมามากโดยเฉพาะการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งขณะนี้ สตช.ได้เรียกเก็บแก๊สน้ำตาที่ผลิตในประเทศจีนไปหมดแล้ว และได้นำแก๊สน้ำตาที่ผลิตจากสหรัฐอเมริกามาใช้แทน อย่างไรก็ดี จากการประเมินด้านการข่าวแล้วเชื่อว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้น
พล.ท.ดาวพงษ์ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมในส่วนของกองทัพเพื่อรับมือการชุมนุมทางการเมืองนั้น หน้าที่หลักเป็นของตำรวจ ส่วนกองทัพเป็นเพียงกำลังเสริม และจะออกมาสนับสนุนการทำงานของตำรวจก็ต่อเมื่อรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
ทั้งนี้กองทัพได้เตรียมแผนไว้ใน 4 ภารกิจ คือ 1.ป้องกันสถานที่ราชการสำคัญ 2.ป้องกันการเผชิญหน้าระหว่างมวลชน 3.ป้องกันการก่อวินาศกรรม และ 4.ป้องกันการกระทำความผิดทางกฎหมาย