ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จัดห้องประชุมลับสุดยอดให้กับองค์คณะผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะหารือร่วมกันทั้ง 9 คน เพื่อลงมติคำพิพากษากลางในช่วงเช้าวันพรุ่งนี้ จนกว่าจะตกผลึกผลตัดสินคดี โดยจะไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้าหรือออกจากห้องอย่างเด็ดขาด ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจวางกำลังคุมเข้ม
"ผู้พิพากษาแต่ละท่านจะมีคำพิพากษาส่วนตนแล้วมาประชุมร่วมกันเพื่อหาคำพิพากษากลางวันพรุ่งนี้เลย ไม่มีการทำ(คำพิพากษา)ไว้ก่อนล่วงหน้า และระหว่างการประชุมจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในห้องประชุม อย่างเรื่องจัดอาหารก็จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว ต้องเป็นความลับที่สุด" เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ กล่าว
อนึ่ง ตามหลักปฏิบัติการอ่านคำพิพากษาจะยึดหลักอาวุโส เริ่มจากตุลาการผู้อาวุโสที่สุดในคณะ คือ ผู้พิพากษาอาวุโสศาลฎีกา ตามด้วยรองประธานศาลฎีกา ประธานแผนกคดีในศาลฎีกาและผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกาโดยระหว่างที่ตุลาการแต่ละคนอ่านความเห็นในการวินิจฉัยคดี จะมีการจดบันทึกประเด็นความเห็นของทุกคนในการวินิจฉัยคดีตามสำนวนฟ้องของอัยการ
เจ้าหน้าที่ศาลฎีกาฯ เปิดเผยว่า การประชุมจะมีขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า จนกระทั่งสามารถจัดทำคำพิพากษากลางเสร็จเรียบร้อยแล้ว องค์คณะผู้พิพากษาจะไม่ออกไปนอกห้องประชุมจนกว่าจะถึงเวลาออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาพร้อมกันทั้งหมดในช่วงบ่าย ซึ่งกำหนดเบื้องต้นไว้ในเวลา 13.00 น.
สำหรับการเตรียมความพร้อมในการรักษาความเรียบร้อยนั้น ในส่วนของพื้นที่โดยรอบได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยดูแล ส่วนพื้นที่ของแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นจะใช้รูปแบบเหมือนวันที่มีการพิจารณาคดีใหญ่ที่ผ่านมา โดยมีการใช้แผงกั้นกำหนดพื้นที่เฉพาะ
ส่วนการเผยแพร่การผ่านการอ่านคำพิพากษานั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาขององค์คณะผู้พิพากษาว่าจะให้ถ่ายทอดสดหรือถ่ายทอดเฉพาะเสียงอย่างเดียว
แหล่งข่าวจากศาลฎีกาฯ กล่าวถึงกระแสข่าวที่มีการคาดการณ์ถึงการเลื่อนนัดอ่านคำพิพากษาเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตัวเองว่า การเลื่อนนัดต้องเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาจะเป็นผู้พิจารณา และในคดีนี้เป็นความแพ่งที่ผู้ถูกฟ้องไม่ต้องเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเองก็ได้