ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตภริยา ที่ได้จากการขายหุ้นบมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) ให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก รวมผลประโยชน์อื่น ๆ รวม 4.63 หมื่นล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน จากมูลค่าทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าการยึดเงินทั้งหมดไม่เป็นธรรม เพราะมีมูลค่าหุ้นที่ถืออยู่ก่อนที่พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
อนึ่ง อัยการสูงสุดยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2551 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เงินที่มาจากการซื้อขายหุ้น SHIN มูลค่า 69,722,880,932.05 บาท และเงินปันผลจำนวน 6,898,722,129 รวมจำนวน 76,621,603,061.05 บาท พร้อมดอกผล ซึ่งอยู่ในความครอบครอง พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว รวมถึงบุคคลใกล้ชิดที่มีชื่อเป็นเจ้าของทรัพย์สินรวม 22 ราย
คำพิพากษาของศาลฯ ระบุว่า แม้ว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น SHIN เป็นการได้มาโดยไม่สมควร เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจในเครือ SHIN แต่การจะให้เงินทั้งจำนวนดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดินไม่เป็นธรรม เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณได้ถือหุ้น SHIN ตั้งแต่ก่อนเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่ง ณ ขณะนั้นคิดมูลค่าหุ้นประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น ศาลจึงให้ยึดเงินส่วนเพิ่มจากการขายหุ้น 3.9 หมื่นล้านบาท และเงินปันผล 6.8 พันล้านบาท รวมทั้งดอกเบี้ยและเงินผลประโยชน์อื่น ๆ
ก่อนหน้านี้ ศาลฯ อ่านคำพิพากษาประเด็นการใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจในเครือ SHIN ประกอบด้วย การแปลงค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต , การอนุญาตให้บมจ.เอไอเอส อินโฟร์ เซอร์วิส(ADVANC)ใช้เครือข่ายโรมมิ่งร่วมกับบริษัทดีพีซี และ การลดอัตราส่วนแบ่งรายได้การให้บริการระบบพรีเพด เหลือร้อยละ 20
รวมทั้ง การอนุมัติดาวเทียมไอพี สตาร์ , การอนุมัติแก้ไขสัญญาดาวเทียมในประเด็นสัดส่วนการถือหุ้นของ SHIN และ การอนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย(เอ็กซิมแบงก์) 4,000 ล้านบาท เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์การพัฒนาระบบโทรคมนาคมจากบริษัทในเครือ SHIN
ศาลฯ เห็นว่าทุกประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ที่มีการใช้อำนาจโดยตรงคือกรณีการแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และการอนุมัติให้รัฐบาลพม่ากู้เงินจากเอ็กซิมแบงก์ ขณะที่ ศาลฯ เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และอดีตภริยา เป็นผู้ถือหุ้น SHIN ตัวจริงทั้งจำนวนที่ขายให้เทมาเส็ก ตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี