เอแบคโพลล์เผย ปชช.56.7% อยากให้"ทักษิณ"ยอมรับคำพิพากษายึดทรัพย์

ข่าวการเมือง Sunday February 28, 2010 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัย “เอแบคเรียลไทม์โพลล์" ที่เป็นการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่วประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น และได้ติดตั้งโทรศัพท์ให้กับครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างเพื่อทำการสัมภาษณ์ได้อย่างรวดเร็วฉับไวและประมวลผลด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์ โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง ความหวัง กับ ความกลัวของสาธารณชนคนไทย ภายหลังคดียึดทรัพย์ ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร กรณีศึกษาประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปใน 17 จังหวัดของประเทศ ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา เพชรบุรี กาญจนบุรี ชลบุรี เชียงใหม่ เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์ ขอนแก่น ศรีสะเกษ สกลนคร หนองบัวลำภู ระนอง พัทลุง และสุราษฎร์ธานี จำนวนทั้งสิ้น 1,308 ครัวเรือน ดำเนินการสำรวจในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2553

พบว่า ประชาชนเกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 56.7 มองว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ควรยอมรับผลการพิพากษา เพราะ การตัดสินของศาลถือว่าถูกต้อง และยุติธรรมแล้ว คำพิพากษาชัดเจนทุกกรณี ทำให้ภาพลักษณ์ดีขึ้น เพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง และไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายอีกต่อไป

อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 32.6 มองว่าควรยื่นอุทธรณ์ เพราะเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ ถ้าคิดว่าไม่ผิดจริงควรยื่นอุทธรณ์ และอยากให้ต่อสู้ต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 10.7 ไม่มีความเห็น

เมื่อสอบถามว่า ถ้าประชาชนที่ถูกศึกษาเป็น พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ จะใช้เงินกว่า 3 หมื่นล้านบาทที่มีอยู่ทำอะไรบ้าง พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 81.5 จะทำประโยชน์ที่ยั่งยืนด้านการศึกษา เช่น สร้างแหล่งเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชน รองลงมาคือ ร้อยละ 75.1 แจกจ่าย บริจาคให้ทุนคนยากจน ร้อยละ 74.7 พัฒนาชุมชน สร้างเมืองต้นแบบให้น่าอยู่กับชาวบ้าน ร้อยละ 74.0 ลงทุนทำธุรกิจต่อ และร้อยละ 61.1 แก้ปัญหาเดือดร้อนของประชาชน ทำงานแข่งกับรัฐบาล เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาปากท้อง เป็นต้น

ส่วนความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อผลการพิพากษาคดียึดทรัพย์ของนักการเมืองที่ผ่านๆ มา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 69.3 มองว่าจะทำให้พฤติกรรมของนักการเมืองที่ใช้อำนาจรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองลดลง ร้อยละ 68.7 มองว่าจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศดีขึ้น และร้อยละ 61.4 จะทำให้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นลดลง

นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐควรเร่งรณรงค์ให้คนไทยทำ ในช่วงเดือนมีนาคมนี้ พบว่า ส่วนใหญ่เกินกว่าร้อยละ 90 คือ ร้อยละ 94.0 อยากให้คนไทยรักและให้อภัยต่อกัน ร้อยละ 92.0 ให้คนไทยมีน้ำใจเกื้อกูลต่อกัน ร้อยละ 89.4 ช่วยกันดูแลพัฒนาชุมชนของตนเอง ร้อยละ 88.8 รณรงค์ให้เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติต่อประชาชนอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ ร้อยละ 86.9 รณรงค์ให้เจ้าหน้าที่รัฐมีวินัย ซื่อสัตย์สุจริต และรองๆ ลงไปคือ ช่วยกันต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น และให้เป็นเดือนแห่งคุณธรรม เตรียมเข้าสู่เทศกาลปีใหม่ไทยในเดือนเมษายน

ที่น่าเป็นห่วงคือ ประชาชนเกินครึ่งหรือร้อยละ 51.7 ยังคงมีความกลัวและกังวลต่อเหตุการณ์วุ่นวายที่จะเกิดขึ้นอีกในสังคมไทย ในขณะที่ร้อยละ 48.3 เลือกที่จะมีความหวังก้าวต่อไปข้างหน้าในชีวิต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ