นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานศึกษาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หลังมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 46,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อเนื่องในการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน
เนื่องจากคำพิพากษาดังกล่าวเป็นเรื่องเฉพาะส่วนการยึดทรัพย์เท่านั้น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐ ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปพิจารณาเพื่อดำเนินการในส่วนของคดีแพ่งและคดีอาญา โดยได้มอบหมายให้อัยการสรุปแนวทางคำพิพากษาของศาลอีกครั้ง
"เมื่อคำพิพากษาของศาลฟังได้เป็นข้อยุติแล้ว เรื่องของการยึดทรัพย์เป็นคนละเรื่องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรัฐ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การดำเนินคดีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ คงต้องรอขั้นตอนการยื่นอุทธรณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ใน 30 วัน ก่อนจะดำเนินการใดๆ ต่อไป
ทั้งนี้ ยืนยันว่าการรัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องนี้เป็นไปตามขั้นตอน ในฐานะผู้ดูแลรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน เพราะรัฐบาลไม่ได้เป็นคู่กรณี และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยึดหลักนี้ในการทำงาน เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันในการปฎิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ได้นำเรื่องการพิพากษาของศาลหารือในที่ประชุม ครม. ให้ทุกฝ่ายที่มีหน้าที่รับผิดชอบตระหนักต่อปัญหาหรือความเสียหายใดๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยใช้คดีนี้เป็นตัวอย่าง ในฐานะที่ดูแลรับผิดชอบฝ่ายบริหารจะพยายามดูแลในทุกๆภาคส่วน
ส่วนกรณีที่มีการนำคำพิพากษาของศาลไปเชื่อมโยงกับกรณีของคุณหญิงกัลยา โสภณพานิช รมว.วิทยาศาสตร์ เรื่องนี้ได้มีการสอบถามกับทางคุณหญิงกัลยาโดยตรงในที่ประชุม ครม. ซึ่งคุณหญิงบอกว่าพร้อมจะชี้แจงในกรณีที่มีการฟ้องร้อง
นอกจากนี้ ในส่วนของกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้ทุกหน่วยงานเฝ้าระวังเพิ่มเติม เนื่องจากขณะนี้กำลังเจ้าหน้าภาครัฐ โดยเฉพาะทหาร ตำรวจมีไม่เพียงพอที่จะดูแลทุกๆสถานที่ จึงจำเป็นที่ทุกหน่วยงานต้องดูแลรักษาความสงบในพื้นที่ของตัวเองด้วย เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถไปดูแลประชาชนได้มากขึ้น
พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้สั่งการให้จับตากรณีที่อาจจะมีบุคคลบางกลุ่มเคลื่อนไหวในช่วงนี้เป็นพิเศษ แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดต่อกรณีมีความพยายามเชื่อมโยงต่อการสร้างสถานการณ์กับขบวนการใต้ดิน ซึ่ง ขณะนี้รองฯสุเทพ สามารถดูแลสถานการณ์ทุกอย่างภายใต้ความสงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี