นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองกรรมการผู้จัดการเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี มองปัญหาการเมืองในประเทศขณะนี้ ว่า เชื่อว่าการที่รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศมากนัก เนื่องจากมีกำหนดระยะเวลาการประกาศใช้ชัดเจน คือ ตั้งแต่วันที่ 11-23 มี.ค.
พร้อมยังแสดงความมั่นใจว่าการชุมนุมในครั้งนี้จะไม่มีความรุนแรงเท่ากับการชุมนุมใหญ่เมื่อช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการปิดถนน ยึดสถานที่ราชการสำคัญในหลายจุด
แต่ถ้าหากการชุมนุมมีความรุนแรง และยืดเยื้อ ก็อาจจะกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศแน่นอน และยอมรับว่านักธุรกิจกังวลเรื่องมือที่ 3 ที่อาจฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ให้ดูรุนแรงมากขึ้นไปอีก
"ความรุนแรง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ก็ไม่ดีทั้งนั้น และไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงขึ้น เพราะมันไม่ดีต่อประเทศ ถ้าเกิดความรุนแรงไม่ว่าจะมีมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะทำให้ประเทศเสียหาย แต่ผมยังเชื่อมั่นว่าครั้งนี้ไม่น่าจะรุนแรงเท่ากับตอนเมษาปีที่แล้ว"นายพรศิลป์ กล่าว
นายพรศิลป์ กล่าวว่า สำหรับผู้ชุมนุม อยากให้เสนอข้อเรียกร้อง แล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้านไป ไม่ต้องปิดถนน ไม่ต้องยึดสถานที่สำคัญ ตอนนี้ธุรกิจที่อ่อนแอที่สุดคือการท่องเที่ยว แค่ 10 วัน 15 วัน ก็เสียหายแล้ว ยิ่งลากยาวยิ่งเสียหายมาก
เนื่องจากปีนึงมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาประเทศไทยประมาณ 14-15 ล้านคน ค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 5,000 บาท/คน ถ้าหายไปก็เสียหาย
สำหรับประชาชน มองว่ายังสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้ อย่าไปกลัว อย่ากังวลจนเกินไป ไม่ต้องกักตุนสินค้าจนเกินความจำเป็น ยังออกจากบ้านได้ตามปกติแต่ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังตัว
ส่วนสถานที่สำคัญ อาคารต่างๆ ก็ต้องระวัง มีมาตรการรักษาความปลอดภัย สำหรับตึกซีพีก็ไม่ได้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยอะไรเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาดูแลความเรียบร้อยบริเวณหน้าตึก
"ตึกซีพีก็ไม่ได้มีมาตรการอะไรเป็นพิเศษนะ ผมก็ยังเข้าออกตามปกติ"
ทั้งนี้ มองว่าปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะไม่ส่งผลกระทบมาก หากส่งออกยังทำได้ตามปกติ
นายพรศิลป์ กล่าวต่อว่า จนถึงขณะนี้ ต่างชาติก็ยังแสดงความมั่นใจการบริหารของรัฐบาลว่า จะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ แต่หากสถานการณ์การเมืองยืดเยื้อ มองว่าจะส่งผลลบต่อประเทศ เพราะจะทำให้ไทยเสียเปรียบประเทศคู่แข่ง โดยเฉพาะเวียดนาม ยิ่งหลังมีการเปิดการค้าเสรีระหว่างอาเซียนกับประเทศต่างๆ ภาษีของทุกประเทศก็จะเหลือร้อยละ 0 ก็มีโอกาสที่นักธุรกิจจะชะลอหรือไม่ก็ย้ายฐานการลงทุนไปเวียดนามก็ได้