นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ(นปช.แดงทั้งแผ่นดิน) กล่าวว่า หลังจากแกนนำฯ ได้ร่วมหารือกันแล้วมีมติให้เรียกรวมพลมาร่วมชุมนุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 3 เม.ย.นี้ เพื่อยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้นหลังการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับแกนนำกลุ่ม นปช.ยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้
อย่างไรก็ตาม แกนนำฯ ยังปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงรายละเอียดของการเคลื่อนไหวที่จะมีขึ้นในวันดังกล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า ในวันที่ 31 มี.ค.และวันที่ 1 เม.ย.ซึ่งมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หากรัฐบาลให้เจ้าหน้าที่นำรั้วลวดหนามหรือแท่งซีเมนต์มาปิดกั้น และนำกำลังทหารมาปิดล้อมบริเวณรัฐสภาอีก กลุ่ม นปช.จะเคลื่อนขบวนไปบุกรื้อถอนออกทันที เพราะไม่มีสิทธิจะมาปิดกั้น รวมทั้งการนำกำลังทหารอยู่ตามวัดต่างๆ รอบพื้นที่ชุมนุม กลุ่ม นปช.ก็จะบุกไปไล่เช่นกัน แต่หากไม่มีการดำเนินการดังกล่าวตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 3 เม.ย.กลุ่ม นปช.จะไม่มีการเคลื่อนไหว
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกกลุ่ม นปช.กล่าวว่า ไม่สามารถรับข้อเสนอรัฐบาลที่ให้ยุบสภาในเวลา 9 เดือนได้ เพราะเป็นข้อเสนอที่ต้องการต่ออายุให้กับรัฐบาล ซึ่งขณะนี้ไม่ว่าจะประเมินอย่างไรก็พบว่ารัฐบาลไม่สามารถบริหารงานต่อไปได้ เพราะมีการทุจริตในหลายองค์กร การบริหารงานล้มเหลวทั้งระบบ ฝ่ายบริหารไม่โปร่งใส
โดยนายณัฐวุฒิได้นำเอกสาร 3 ฉบับที่อ้างว่าเป็นของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) กรมกิจการพลเรือนทหารบก และ บมจ.อสมท ที่ส่งให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 และสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนท์ เพื่อขอความร่วมมือในการเผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์การชุมนุม ซึ่งถือว่าเป็นการแทรกแซงสื่อของฝ่ายทหารที่ต้องการให้เผยแพร่ข่าวตามที่ต้องการ
ทั้งนี้ ศอ.รส.ได้รายงานต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ช่วงวันที่ 24-30 มี.ค.มีการใช้พื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาลีลาศ และตามแนวถนนราชดำเนิน จากบริเวณสี่แยกคอกวัวจนถึงสี่แยกสวนมิสกวัน รวมถึงถนนพิษณุโลกจากเชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ์ถึงสี่แยกตึกแดง โดยมีผู้ชุมนุมในเวลากลางวันประมาณ 4,000-6,000 คน และเพิ่มจำนวนสูงสุดประมาณ 80,000-90,000 คน และตั้งแต่วันที่ 23-28 มี.ค.พบการก่อเหตุร้ายของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่มีการใช้อาวุธและวัตถุระเบิดรวม 14 ครั้ง