พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.)กล่าวว่า ที่ประชุมศอ.รส. ไม่ได้วิตกกังวลกับจำนวนผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุมใหญ่กลุ่มคนเสื้อแดงในวันที่ 3 เม.ย.นี้ เนื่องจากฝ่ายข่าวประมาณการว่าจำนวนไม่น่าจะมากไปกว่าการชุมนุมใหญ่ใน 2 ครั้งที่ผ่านมา และมีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนลดน้อยลง เนื่องจากประชาชนที่มาร่วมชุมนุมฯ ต่างทยอยเดินทางกลับบ้านกันเป็นส่วนใหญ่
ส่วนการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าในขณะนี้มียอดผู้ร่วมชุมนุมฯ ประมาณ 2,500 คน
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับการรายงานข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความเคลื่อนไหวของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อาทิ นักวิชาการ อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังรับทราบรายงานตามที่ตำรวจนครบาลได้มีการวางกำลังในพื้นที่วงใน ซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้บริเวณที่มีการชุมนุม ที่มีการใช้หน่วยกองร้อยปราบจลาจลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนสอบสวนทั้งในและนอกเครื่องแบบว่า หลังจากที่ได้มีการปฏิบัติภารกิจเมื่อคืนที่ผ่านมา ถือได้ว่าการทำงานมีความลงตัวดี มีความสอดคล้องกันระหว่างการปฏิบัติงานและการเชื่อมข้อมูลในโซนต่าง ๆ มากขึ้น
โฆษก ศอ.รส. กล่าวว่า โดยภาพรวมไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับการชุมนุมในวันเสาร์นี้ ถ้าการชุมนุมเป็นไปโดยสันติและไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ส่วนทางเจ้าหน้าที่ได้มีการประสานข้อมูลกันอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของการดูแลรักษาความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและกลุ่มผู้ชุมนุม รวมถึงการดูแลในเรื่องของการจราจร
ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติการนั้น ได้มีการกำชับให้ทุกคนอย่าใช้อารมณ์ รวมทั้งการโดยมีกฎ กติกา หลักเกณฑ์และมาตรฐานในการใช้อาวุธด้วยว่า ถ้าจะมีการใช้อาวุธก็ต่อเมื่อป้องกันตัวเองจากการถูกทำร้ายที่หมายเอาชีวิตและทรัพย์สินของตัวเจ้าหน้าที่และประชาชนโดยทั่วไปเท่านั้น รวมทั้งการพกพาอาวุธจะมีเฉพาะเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอนุญาตเท่านั้น ซึ่งจะต้องจัดทำบัญชีหมายเลขอาวุธอย่างครบถ้วน โดยเฉพาะทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่อยู่ประชิดกับกลุ่มผู้ชุมนุม
สำหรับมาตรการต่าง ๆ ทาง ศอ.รส.ได้มีการปรับเพื่อให้เข้ากับข้อมูลข่าวสารและลักษณะการพยายามสร้างสถานการณ์ในแต่ละช่วงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเท่าที่ผ่านมามีความลงตัวดีขึ้น แต่ก็ยังไม่ประมาณโดยจะมีการสั่งปรับวิธีการปฏิบัติและกระตุ้นเจ้าหน้าที่ ทั้งทหาร ตำรวจและพลเรือนที่ปฏิบัติงานใน ศอ.รส. โดยเฉพาะจุดตรวจทั้งหลายให้มีความกระตือรือร้นต่อการที่จะสังเกตบุคคลที่ต้องสงสัย หรือรถชนิดต่างๆ ที่ผ่านไปมาอยู่ตลอดเวลา
ในส่วนของกำลังเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการเพิ่มไปจากเดิม ที่มีประมาณ 50,000 คน ซึ่งก็ได้มีการเพิ่มเติมกำลังของกองทัพภาคที่ 2 และ3 เข้ามาในช่วงครั้งแรกที่มีการชุมนุมใหญ่ รวมเป็น 14 กองร้อย เท่าเดิม แต่มีการจัดการหมุนเวียนกำลังพลให้สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจได้ตลอด และมีเวลาในการฟื้นฟูหน่วยให้มีความสดชื่น พร้อมที่จะปฏิบัติงาน ขณะเดียวกันมีการแบ่งกำลังส่วนหนึ่งไปทำงานในพื้นที่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี