พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)กล่าวในการแถลงข่าวร่วมกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหมว่า ปัญหาการชุมนุมจะจบลงได้คงต้องกลับไปที่การเมืองและสังคมตัดสิน ซึ่งยอมรับว่าในที่สุดก็คงต้องไปจบที่การยุบสภา หรือแม้กระทั่งการตั้งรัฐบาลแห่งชาติหากสามารถทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบได้
"ผมประเมินว่าต้องกลับไปที่การเมืองและจบที่นั่น การเมืองและสังคมจะทำให้จบได้"พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวในการแถลงข่าวที่กองพันทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์เช้านี้ เพื่อชี้แจงเหตุปะทะกันรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 21 ราย
"ถ้าถามผมตอนนี้บริบทมันต่างกัน สังคมตอนนี้ต่างกัน...ถ้าการเมืองแก้ไม่ได้ ผมเข้าใจว่าประเด็นยุบ(ยุบสภา)มันต้องยุบ ผมคิดว่ามันต้องจบด้วยการยุบสภา ยุบเท่าไหร่ก็ไปเจรจาก็แล้วกัน ที่มันต้องเกิดกรอบเวลา หรือบางคนเสนอใหม่เป็นรัฐบาลแห่งขาติ ผมไม่รู้ก็ว่ากันเองแล้วกัน ผมขอให้สงบแล้วกัน ผมขอแค่นี้"พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า อาจจะมีคนวิพากวิจารณ์ว่าทหารใส่เกียร์ว่าง หน่อมแน้ม แต่ชี้แจงว่าในกรอบการปฎิบัติได้มีการสั่งการชัดเจนว่าให้เจ้าหน้าที่ทำตามกรอบ เพราะเรื่องทีเกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งของคนไทยด้วยกันไม่ใช่ศัตรูกัน หากทหารทำเกินกว่าเหตุก็อยู่ไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงยึดหลักตามกฎการใช้กำลัง แม้ว่าจะมีหลักเกณฑ์ว่านอกเหนือจากยิงขู่ก็ให้สามารถใช้อาวุธในการป้องกันตัวได้ แต่ก็กำชับว่าจะต้องพิจารณาให้ดี ดังนั้น จะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการใช้อาวุธร้ายแรงแต่อย่างใด
"ผมเชื่อว่าถ้าทหารแถวหน้ายิงหมดก็ล้มหมด แต่มันไม่ใช่ และทหารเองก็จะอยู่ไม่ได้"พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
การปฎิบัติการของทหารจะยึดหลักที่ไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสีย โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการแจกกระสุนเอ็ม 79 ให้กับเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติการกดดันผู้ชุมนุม เพราะทหารไม่สามารถยิงเอ็ม 79 เข้าไปยังฝูงชนได้ แต่เหตุการณ์ปะทะที่เกิดขึ้นมีการยิงเอ็ม 79 และกระสุนปืนมายังฝั่งทหารไม่ขาดสาย โดยนายทหารระดับเสธ.รายงานว่ามีการยิงเข้ามาไม่หยุด แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถยิงตอบโต้ได้ เพราะเกรงว่าจะถูกประชาชน
แม้เป้าหมายที่ซุ่มยิงเข้ามาจะไม่ไกลเพียง 70-100 หลา แต่ถ้ายิงไปอาจจะพลาดเป้าได้ หากจะมีการดำเนินการเช่นนั้นต้องใช้นักแม่นปืนอย่างเดียว แต่ถ้าใช้พลแม่นปืนก็จะถูกสังคมตีตราว่าชุดปฎิบัติการนี้มาเพื่อทำร้ายประชาชน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า หากมีเหตุการเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ทางกองทัพจะต้องเตรียมพลแม่นปืนหรือชุดปฎิบัติการพิเศษเพื่อจัดการกับคนกลุ่มที่ติดอาวุธร้ายแรงเข้ามาในพื้นที่ แต่เชื่อว่าจะไม่มีเหตุการอย่างรนั้นเกิดขึ้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นประเทศชาติคงจะเลวร้ายลงไปกว่านี้
พล.อ.อนุพงษ์ บรรยายเหตุการช่วงที่มีการปะทะที่แยกคอกวัวจนเกิดเหตุวุ่นวายว่า เริ่มจากมีการขว้างปาระเบิดที่สี่แยกคอกวัวทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บ 30 นาย ทำให้ผู้บังคับหน่วยสั่งถอนกำลังออกมาที่บริเวณ 13 ห้าง ปรากฎว่ากำลังทหารที่อยู่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาถูกโอบล้อมหลังและมีการยิงกระสุนระเบิด
ขณะนั้น พล.ต.วลิต โรจนภักดี ผู้บังคับบัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ได้เรียกผู้บังคับหน่วยต่างๆมาประชุมหลังรถสายพานลำเลียงพล ซึ่งเป็นรถหุ้มเกราะ เพื่อชี้แจงแนวทางในการปฎิบัติการ แต่ยังไม่ทันได้ชี้แจงก็มีการยิงกระสุนควันตกมาก่อน หลังจากนั้นมีการยิงกระสุนจริงมาอีก 3 นัด ทำให้ผู้บังคับหน่วยเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
ส่วนจะเป็นการชี้เป้าโดยตรงหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ต้องขอประเมวลเหตุการจากทหารในพื้นที่ก่อน แต่การยิงระเบิดเอ็ม 79 นั้นคนธรรมดาก็สามารถยิงได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทหาร หรือผู้ที่ได้รับการฝึกเท่านั้น
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวถึงกรณีที่ถูกมองว่าประคับประคองตัวเองเพื่อให้อยู่ครบอายุราชการในตำแหน่งว่า การสั่งการทุกอย่างไม่ได้คิดเรื่องตำแหน่ง แต่อยู่บนแนวพื้นฐานของนโยบายรัฐ การตัดสินใจทุกอย่างต้องเป็นสิ่งที่ประเทศชาติได้ประโยชน์ และกองทัพไม่เกิดความเสียหาย
“ถ้าถามว่าทำได้หรือไม่ ไม่ใช่สูตรว่า ถ้าชนต้องสลายได้ หรือว่าชนแล้วไม่สลายก็ไม่ใช่ ต้องดูบริบทของสังคม กระแสว่าทำได้หรือไม่ ถ้าสังคมเข้าใจชัดหมดทุกอย่าง ไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร แต่ถ้าจำเป็นต้องสลาย เช่น ทำผิดมหาศาล ถ้าจำเป็นต้องทำก็ต้องทำ เช่นที่ราชประสงค์ ถามว่าที่ถูกต้องมั้ย ไม่ กระทบเทือนมากมั้ยกระทบกระเทือน ทำได้มั้ย ถ้าทำได้สูญเสียมาก เราต้องชั่งความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ ผมว่ามันชั่งลำบาก กองทัพต้องเสียหน้า ประชาชนล้มตาย สังคมจะหนักกว่านี้ ถ้าชั่งแล้วทำไม่ได้ก็ทำไม่ได้ ต้องใช้มาตรการอื่นไปแก้ แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จ คราวหน้าปิดถนนก็ต้องทำ ถ้าเป็นลักษณะกองโจรก็ต้องทำ"พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
ผบ.ทบ.ชี้แจงว่า แนวทางของทางกองทัพ ไมได้หมายความว่าจะหยุดปฎิบัติการนับจากนี้ต่อไป แต่ตอนนี้มองว่าทุกอย่างกำลังมองไปที่การแก้ปัญหาทางการเมืองที่เป็นช่องทางที่จะแก้ปัญหาได้ ถ้าหากวันนี้มีการส่งทหารไปแล้วสุ่มเสี่ยงที่จะเปิดการปะทะ ไม่เป็นประโยชน์ ผมก็จะไม่ส่งไป
"ไม่มีความแตกแยกในกองทัพขณะนี้ ยอมรับว่าอาจมีทหารเก่าหรือรีไทร์ไปแล้ว 5-10 คน ที่อาจจะแตกแถว แต่ยืนยันว่าไม่ใช่ความแตกแยกของกองทัพ"พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว