นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เข้าร่วมรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการปรับโครงสร้างภายในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ว่า เป็นเพราะสถานการณ์มีพัฒนาการไปเป็นลักษณะการก่อการร้าย การกระชับการทำงานระดับล่าง ในระดับเจ้าหน้าที่มีความจำเป็น ซึ่งผู้บัญชาการทหารบกมีความเหมาะสมที่จะมาทำหน้าที่นี้ ส่วนรองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทำหน้าที่กำกับการปฏิบัติในฝ่ายการเมือง ตนก็ยังติดตามและช่วยเหลือในการทำงานและดูแล
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่เริ่มต้นมาตั้งแต่วันที่ 14 มี.ค.จนถึงวันนี้ผ่านมาแล้วกว่า 40 วันว่า เริ่มมีภาพสามารถปะติดต่อกันที่มีความชัดเจนมากขึ้นว่าเชื่อมโยงกับกลุ่มไหนบ้าง และเมื่อฝ่ายค้านขึ้นเวทีประกาศร่วมการต่อสู้ และ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้ง 10 เม.ย. และ 22 เม.ย.กลุ่มที่ใช้กำลังใช้อาวุธสงครามอยู่ในพื้นที่การชุมนุม กลุ่มเสื้อดำปฎิบัติการอยู่ในพื้นที่ ซึ่งความสูญเสียที่เกิดขึ้น ยอมรับว่าเป็นเพราะรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป โดยไม่คาดคิดว่า จะมีกองกำลังซึ่งกล้าที่จะใช้อาวุธทำร้ายประชาชนที่มาชุมนุม รวมทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์ และคิดไม่ถึงเกิดเหตุรุนแรงขั้นเสียชีวิต 2 ครั้ง
อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า ไม่ปฎิเสธการหาคำตอบทางการเมือง แต่ไม่ใช่มาจะข่มขู่ให้ยุบสภา
"แนวทางการแก้ปัญหาที่ทำมาตลอดเดือนกว่าๆ เป็นการแก้ปัญหาของประเทศ และปัญหาการเคลื่อนไหวปัญหาการก่อการร้ายต่างๆ ไม่ใช่ปัญหาของราชประสงค์ เป็นปัญหาของประเทศ เพราะฉะนั้นจะดำเนินการอะไร เป้าหมายสุดท้ายไม่ได้อยู่แค่ราชประสงค์กลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่นำความปกติและความสงบกลับคืนมาสู่สังคมไทย"นายกรัฐมนตรี กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทุกครั้งที่มีความสูญเสียเกิดขึ้น ทีนี้ความเสียใจ และถ้าบอกว่ามีความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้น ผมก็ต้องยืนยันว่าเป็นเรื่องของการประเมินต่ำเกินไป เช่น ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ยอมรับว่าไม่เคยคิดครับว่าจะมีกองกำลังซึ่งเตรียมความพร้อม ๆ ที่จะมีการดำเนินการจนกระทั่งสูญเสียทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่ และฝ่ายประชาชน และล่าสุดที่สีลม เราก็เป็นห่วงอยู่แล้วในแง่ว่าเมื่อมีกลุ่มคนสองกลุ่มอยู่ใกล้กัน ก็วางมาตรการ
"คืนแรกดูแล้วยังมีปัญหา คืนที่สองก็กำชับชัดเจนมากขึ้นว่าทำอย่างไรมีระยะห่าง มีคนกั้นอยู่ แต่ประเมินนึกไม่ถึงครับว่าจะมีคนสามารถที่จะใช้อาวุธแบบนี้ทำกับประชาชนที่เขามาชุมนุมหรือมาอยู่อย่างบริสุทธิ์ โดยที่ไม่มีเหตุการณ์ของการที่เรียกว่าชุลมุนกันในจุดที่ว่าปะทะกันเลย คิดไม่นึกครับ ยอมรับอันนี้ และผมคิดว่าทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี้ก็เสียใจด้วยกันทั้งสิ้น และก็มีความทุกข์ และผมก็ทราบดีเลยว่าทำให้เกิดอารมณ์กับสังคมในวงกว้าง บางคนถึงขั้นต่อว่าต่อขาน ตำหนิติติงว่ารัฐบาลจะปล่อยให้เกิดการสูญเสียของผู้บริสุทธิ์อย่างนี้อีกเท่าไหร่อย่างไร ผมยืนยันนะครับว่าไม่มีใครต้องการที่จะเห็นอย่างนั้นแน่นอน แต่ว่าอย่างที่ผมย้ำอีกครั้งครับ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สี่แยกราชประสงค์อย่างเดียว และผมยืนยันว่าข่าวคราวที่มันสับสน บางทีอาจจะต้องสอบถามจากท่านเอง ที่บอกว่าตกลงสลาย ไม่สลาย ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นอยู่ว่าจะแก้ปัญหาต้องทำอะไรบ้าง ยิ่งเป้าหมายสุดท้ายเป้าหมายหนึ่งแน่นอน คือการคืนพื้นที่ให้กับประชาชน แต่อะไรก่อนหลัง จังหวะเวลาทำเมื่อไหร่ อันนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถที่จะมาตอบกันตรงนี้ได้"
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับกรณีที่ผ่านมาหลายวันแล้วพอจะบอกได้บ้างหรือยังว่ากองกำลังดังกล่าวคือใครกลุ่มไหนอย่างไร รวมไปถึงอาวุธสงครามเหล่านั้น ข้อแรกคือว่ามีบางคนเขาเปิดตัวเขาเองมาตลอด เขาประกาศมาตั้งแต่อาจจะปลายปีที่แล้วว่าเขากำลังฝึกกองกำลังคนนั้นคนนี้อยู่มาเชื่อมโยงกับทางการชุมนุมทางการเมือง เละผมก็ว่ามีการทำงานที่ตอนหลังก็เปิดเผยพอสมควร ตรงนั้นก็เป็นส่วนหนึ่ง
อีกส่วนหนึ่งก็คือจากการที่เราจับกุมบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวันที่ 10 และก็มีการครอบครองอาวุธ ขณะนี้การสอบสวนก็มีการดำเนินการอยู่ ก็น่าจะสามารถที่จะขยายผลไปได้ และก็ปฏิบัติการต่าง ๆ แนวทางต่าง ๆ เราเริ่มเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งในเหตุการณ์ที่สีสมเมื่อวันที่ 22
"เหตุการณ์เกิดขึ้นก็ตอนช่วงหัวค่ำ แต่ว่าผมกับ ท่าน ผบ.นั่ง และก็มีการติดตามเหตุการณ์อยู่ถึงประมาณตีสามตีสี่ เพราะเราเห็นการเคลื่อนไหวอะไรหลายอย่าง และก็มีความพยายาม เพราะว่ามีข่าวด้วยซ้ำว่าจริง ๆ จะไม่หยุดอยู่เท่านั้น จะมีเพิ่ม แต่ก็ต้องมีมาตรการในการ ที่จะเข้าไปเพื่อปรามไม่ให้มันเกิดขึ้นต่อเนื่อง และเราก็มองเห็นว่ามันมีอะไรบ้างที่จำเป็นที่จะต้องดำเนินการเพื่อไม่ให้การเผชิญหน้าในลักษณะนี้นำไปสู่การสูญเสีย ก็พยายาม วันรุ่งขึ้นก็จะเห็นว่าทางตำรวจเขาก็ไปทำหน้าที่ในการที่จะทำอย่างไรก็ตามให้มีการร่นถอย ไม่ให้เกิดการใกล้กัน และก็สามารถที่จะตรวจสอบได้มากขึ้น ก็จะต้องพยายามต่อไป ไม่ให้มีการเอาอาวุธต่าง ๆ มาใช้"