ปชป.ชี้ นปช.เคลื่อนไหวหวังเกิดการเผชิญหน้ายกระดับเป็นสงครามกลางเมือง

ข่าวการเมือง Monday April 26, 2010 19:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า พรรคฯ วิตกแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ที่เปลี่ยนเป้าหมายมาเคลื่อนไหว 2 ลักษณะเพื่อหวังผลล้มรัฐบาล โดยเคลื่อนเข้าสู่การกระทำที่ผิดกฎหมายโดยกลุ่มมวลชนจำนวนมากในหลายพื้นที่ เพื่อหวังสร้างภาวะอนาธิปไตยที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการปัญหาได้และสิ้นสภาพในที่สุด โดยจะเป็นรูปแบบการก่อการจลาจลเหมือนเหตุการณ์เดือนเม.ย.เลือดปี 52 เช่นตัวอย่างที่จ.ขอนแก่น และการปิดถนนพหลโยธิน

นอกจากนี้ ยังเคลื่อนเข้าสู่การใช้กำลังและอาวุธสงคราม โดยกองกำลังที่มีการประกาศโดยเปิดเผยที่ดำเนินการอย่างชัดแจ้งทั้งวันที่ 10 เม.ย.และ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งการก่อวินาศกรรมในสถานที่ราชการต่อเจ้าหน้าที่ต่อประชาชน รวมถึงการขว้างระเบิดใส่บ้านแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลเมื่อคืนที่ผ่านมา

โฆษก ปชป. กล่าวต่อว่า การเคลี่อนไหวทั้ง 2 ลักษณะหวังผลใน 2 เป้าหมาย คือ 1. หวังให้เกิดปฏิกริยาจากประชาชนที่ไม่พอใจ และเคลื่อนไหวในการปกป้องถิ่นฐานและชุมชนของตัวเอง เช่นกรณีคนหลากสีที่กทม.และต่างจังหวัด โดยหวังให้เกิดการปะทะระหว่างคนไทยด้วยกันเหมือนที่แกนนำนปช.และพรรคเพื่อไทยเคยมาประกาศมาก่อนหน้านี้ว่าจะยกระดับให้เป็นสงครามกลางเมือง 2.การยั่วยุเพื่อให้เกิดปฏิกริยาจากเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อให้เกิดการเผชิญหน้า โดยกลุ่มที่เป็นแนวร่วมก็จะไม่หยุดยั้ง แม้กระทั่งการกระทำการกับกลุ่มพวกเดียวกันเองและโยนความผิดให้รัฐบาล

โฆษก ปชป.กล่าวถึงกรณีที่นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช.ปฏิเสธว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.ไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก และพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี โดยพรรคขอตั้งข้อสังเกตว่าการปฏิเสธดังกล่าว มักจะเกิดขึ้นหลังจากกลุ่มคนเหล่านี้ให้ส้มภาษณ์หรือออกแถลงการณ์ในลักษณะที่ส่อให้เกิดการเผชิญหน้า

เพราะก่อนหน้านี้บางคนในกลุ่มนี้ได้ประกาศชัดว่าจะก่อตั้งกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยมีการแต่งตั้งผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพดังกล่าว รวมทั้งมีการออกแถลงการณ์กระบวนการประชาธิปไตย ที่มีการพาดพิงสถาบันสูงสุดให้เข้ามาสู่ความขัดแย้ง ซึ่งที่เห็นชัดคือพบว่าการปฏิเสธลักษณะเป็นการปัดความรับผิดชอบล่วงหน้า โดยมักจะเกิดขึ้นก่อนเหตุการณ์ความรุนแรง แต่พอถูกจับได้ก็จะอ้างว่าเป็นกองกำลังไม่ทราบฝ่าย ซึ่งสังคมจับได้ว่าทั้งสองส่วนเกี่ยวข้องกันในลักษณะแบ่งงานกันทำ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ