เหตุการณ์ที่ประชาชนชาวกรีซชุมนุมประท้วงในกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ เพื่อประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดที่รัฐบาลกรีซกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในการแก้วิกฤติการเงินในประเทศนั้น ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 คน ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารแห่งหนึ่ง และมีผู้บาดเจ็บอีก 40 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นพลเรือน 11 คน และตำรวจ 29 คน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ผู้เสียชีวิตทั้ง 3 คนได้แก่ นางแอ็กเกลิกี ปาปาธานาโซเปาโล วัย 32 ปีซึ่งกำลังตั้งครรภ์ นายปารัสเควี โซเลีย วัย 35 ปี และนายเอพามินอนดาส ซาเคลิส วัย 36 ปี ซึ่งทั้ง 3 เป็นพนักงานธนาคารมาร์ฟิน แบค์ ที่ถูกกลุ่มผู้ชุนนุมจุดไฟเผา
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้รัฐบาลกรีซ ตลอดจนแกนนำฝ่ายค้าน ตัวแทนสหภาพแรงงาน และผู้นำสมาคมการค้าของกรีซ ออกมาประณามการก่อเหตุรุนแรงจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต นอกจาก สมาชิสภาผู้แทนราษฎรของกรีซยังร่วมกันยืนไว้อาลัยแก่ผู้เคราะห์ร้ายเป็นเวลา 1 นาทีในระหว่างประชุมรัฐสภา
นายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซได้กล่าวแสดงความเสียใจต่อผู้สูญเสีย โดยย้ำว่า การชุมนุมประท้วงเป็นสิทธิอย่างหนึ่ง แต่การฆาตรกรรมถือเป็นคนละเรื่องกับการประท้วง
"ประเทศชาติของเรากำลังเข้าสู่สถานการณ์ที่ยากลำบาก เราทุกคนต้องแสดงความรับผิดชอบ และต้องร่วมกันปกป้องผลประโยชน์และประชาธิปไตยของชาติเอาไว้" นายกรัฐมนตรีกรีซกล่าว พร้อมสั่งการให้มีการประชุมผู้นำทางการเมืองเพื่อหารือกันถึงมาตรการรัดเข็มขัดและเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง
รัฐบาลกรีซกำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะจำนวน 3 แสนล้านยูโร หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้กรีซลดภาระหนี้สินได้ 3 หมื่นล้านยูโรในอีก 3 ปีข้างหน้า
รัฐมนตรีคลังจากกลุ่มยุโรปมีมติเห็นชอบให้อนุมัติวงเงินช่วยเหลือกรีซมูลค่า 1.10 แสนล้านยูโร โดยมีเงื่อนไขว่า กรีซจะต้องใช้มาตรการควบคุมงบประมาณการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงร่วงลงเมื่อคืนนี้ เนื่องจากความกังวลที่ว่าปัญหาหนี้สินของกรีซอาจลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายในระบบการเงินของประเทศอื่นๆในยุโรป อาทิ โปรตุเกส และสเปน