พนักงานธนาคารในกรีซพร้อมใจกันผละงาน 24 ชั่วโมงในวันนี้ เพื่อประท้วงต่อกรณีการเสียชีวิตของพนักงานธนาคารมาร์ฟิน แบงค์ 3 คนเนื่องจากผู้ชุมนุมประท้วงในกรีซก่อเหตุเผาธนาคารเพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดที่รัฐบาลกรีซกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (อียู) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ)
เหตุการณ์ประท้วงครั้งล่าสุดนี้สร้างความตกใจให้กับสาธารณชนเป็นอย่างมาก เพราะถือเป็นการประท้วงที่มีผู้เสียชีวิตครั้งแรกในรอบเกือบ 20 ปีของกรีซ โดยที่ผ่านมา แม้กรีซจะเผชิญกับเหตุการณประท้วงบ่อยครั้ง แต่ก็มีน้อยครั้งมากที่จะรุนแรงถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อประชาชนประมาณ 100,000 คนเดินขบวนประท้วงทั่วกรุงเอเธนส์ เพื่อต่อต้านมาตรการลดงบประมาณการใช้จ่ายที่รัฐบาลกรีซกำหนดขึ้นเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ 1.10 แสนล้านยูโร (1.42 แสนล้านดอลลาร์) จากไอเอ็มเอฟและอีก 15 ชาติที่ใช้สกุลเงินยูโร
การชุมนุมประท้วงเริ่มขยายวงกว้างจนกลายเป็นความรุนแรง เมื่อผู้ชุมนุมหลายร้อยคนมีอารมณ์โกรธแค้นมาขึ้น จึงพยายามบุกโจมตีทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับตะโกนว่า "คนทรยศ" อีกทั้งยังขว้างหินเข้าใส่อาคารร้านค้าและเจ้าหน้าที่ตำรวจ และที่ร้ายแรงที่สุดคือการบุกเผาอาคารอย่างน้อย 2 แห่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออาคารสำนักงานของธนาคารมาร์ฟินแบงค์ ส่งผลให้พนักงานของธนาคารเสียชีวิตแล้ว 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ 41 คน และพลเรือนบาดเจ็บอีก 15 คน
สหภาพ OTOE ซึ่งเป็นตัวแทนของพนักงานธนาคารในกรีซ ได้เรียกร้องให้พนักงานผละงานประท้วงในวันนี้ เพื่อประท้วงเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว พร้อมกับระบุว่าการเสียชีวิตของพนักงานทั้ง 3 เป็นผลพวงของการที่รัฐบาลเตรียมบังคับใช้มาตรการลดงบประมาณการใช้จ่าย
รัฐบาลกรีซกำลังแบกรับภาระหนี้สาธารณะจำนวน 3 แสนล้านยูโร หรือคิดเป็นสัดส่วน 13.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ทำให้รัฐบาลต้องประกาศใช้มาตรการรัดเข็มขัด ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้กรีซลดภาระหนี้สินได้ 3 หมื่นล้านยูโรในอีก 3 ปีข้างหน้า