นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวกับคณะนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการให้ความรู้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์รุ่นที่ 8 โดยยอมรับว่า รู้สึกท้อในการแก้ไขปัญหาในขณะนี้ แต่ยืนยันว่าการตัดสินใจจะไม่อยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก หรืออารมณ์มาเป็นตัวกำหนดการทำงาน
"ก็เป็นธรรมดา บางทีเราก็มีความรู้สึกว่าเหนื่อย ชีวิตการทำงานทุกเรื่องมีอุปสรรค ถ้าไม่รู้สึกเลยก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่จะไม่ใช้ความรู้สึก หรืออารมณ์มาเป็นตัวกำหนดแนวทางการทำงาน ใช้เหตุใช้ผลในการจัดการกับปัญหา" นายกฯ กล่าว
พร้อมกันนี้ ยอมรับว่าอาจจะมีความรู้สึกของคนอีกหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการประกาศยุบสภาในขณะนี้ แต่นายกฯ ยืนยันว่า สิ่งที่ตัดสินใจได้คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ พร้อมยืนยันว่าไม่มีนายกฯ คนไหนที่ไม่คิดจะอยู่ครบวาระ พร้อมทั้งเชิญชวนทุกฝ่ายหากเห็นว่าแนวทางนี้จะมีส่วนช่วยในการหาทางออกได้ก็ควรจะมาร่วมมือกัน
"สิ่งที่ผมตัดสินใจเพื่อประโยชน์ของภาพรวมของประทเศ ไม่มีนายกฯหรือรัฐบาลไหน ที่วันดีคืนดีจะมาบอกว่าไม่อยู่ในตำแหน่งให้ครบวาระ ผมไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง อยากให้ผู้สนับสนุนได้ในสิ่งที่ต้องการอย่างเต็มที่"
นายก กล่าวต่อว่า แนวทางโรดแมพที่ตั้งไว้คิดว่าเป็นแนวทางที่ดีที่สุดแล้ว ซึ่งในเรื่องของความปรองดองยอมรับว่าอาจมีทั้งฝ่ายที่พอใจและไม่พอใจ แต่ยืนยันว่าจะไม่ขอปรองดองกับความผิดไม่ว่าทางอาญาหรือกฎหมาย พร้อมยืนยันว่าจะไม่มีการนิรโทษกรรมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
นอกจากนี้ เชื่อว่าแผนการปรองดองนี้น่าจะมีส่วนช่วยให้สามารถจับกุมผู้ก่อการร้ายได้ง่ายขึ้น เพราะจะได้ไม่ต้องมีการนำเด็ก หรือผู้สูงอายุมาเป็นโล่กำบัง เพื่อป้องกันไม่ให้รัฐบาลเข้าไปจัดการกับการชุมนุม
"ยืนยันว่าจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด หากไม่สำเร็จก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถ้าหากทำไม่ได้ก็ต้องรับผิดชอบและสังคมเองก็ต้องหาทางเลือกอื่น หากทางเลือกนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ยืนยันว่าการตัดสินใจยุบสภาไม่ได้คิดว่ายุบสภาเพื่อกลับไปเป็นฝ่ายค้านอย่างแน่อน แต่การเลือกตั้งครั้งหน้ายืนยันไม่ได้ว่าจะกลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ แต่ประชาธิปัตย์จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด" นายกฯ กล่าว
ส่วนอนาคตทางการเมือง นายกฯ ระบุว่า ในอนาคตอาจจะมีความเป็นไปได้ที่อาจจะมองหาอาชีพอื่นเพราะไม่คิดว่าจะเล่นการเมืองไปตลอดชีวิต เพราะ แต่ทั้งนี้คงจะยังไม่สามารถประเมินการทำงานของตนเองในขณะนี้ได้ว่าประสบความสำเร็จหรือไม่ คงต้องผ่านไป 20-30 ปี ถึงจะกลับมาประเมินได้
"หากย้อนเวลากลับไปได้ ก็ยังอยากเล่นการเมืองอยู่ดี เพราะการเมืองคือความไม่แน่นอน คงไม่ใครที่จะสามารถกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างได้ เป็นส.ส.ต้องพบปัญหาที่หลากหลายและน้อยคนที่คิดว่า ปัญหาความขัดแย้งจะลุกลามบานปลายเหมือน 4-5 ปีที่ผานมา แต่สิ่งสำคัญ คือ ทุกคนต้องยึดหลักให้แน่น ถ้าไม่เช่นนั้นอาจไปไม่รอด...เชื่อว่าความขัดแย้งนี้จะอยู่อีกสักระยะหนึ่ง และควรต้องรีบหาทางออกในวิกฤตครั้งนี้ให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้น ชีวิตนักการเมืองทุกคนก็จะไม่ปลอดภัย" นายกฯ กล่าว