ศอฉ.ปรับม.คืนพื้นที่ หลังพบกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวผู้ชุมนุม-ทำร้ายจนท.

ข่าวการเมือง Saturday May 15, 2010 20:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก แถลงถึงการปฎิบัติการของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ทั้งเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจในการควบคุมสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณแยกราชประสงค์ ว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศแผนปรองดองออกมา และมีการยื่นข้อเสนอจากผู้ชุมนุม จนมาถึงการปฏิเสธแ ผนการปรองดองของรัฐบาลนั้น ทาง ศอฉ.ได้รับมอบภารกิจจากรัฐบาลในการยุติการชุมนุมเพื่อคืนความสงบสุขให้ประชาชนได้

โดยรัฐบาลให้โจทย์ว่าจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงการสูญเสียให้มากที่สุด ไม่ใช่ของง่าย โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้ดำเนินมาตรการปิดล้อม ซึ่งได้ทำ 2-3 วันแล้ว เพื่อให้เกิดการสลายการชุมนุมไปเอง โดยไม่ต้องใช้กำลังเข้าสลาย และมีมาตรการสกัดกั้นคนไม่ให้เข้าไปเพิ่ม ตัดสิ่งอำนวยความสะดวก และได้พยายามทำจากมาตรการเบาไปหาหนัก เช่นเดียวกับในต่างจังหวัดที่ผ่านมาได้ใช้มาตรการปกติเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย แต่เห็นว่าในหลายจังหวัดมีการใช้ความรุนแรง ปิดถนน บุกศาลากลางจังหวัด จึงต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯเพิ่มในหลายจังหวัด

ทั้งนี้การปฎิบัติการในช่วงนี้ยึดมาตรการจากแบาไปหาหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาล ศอฉ.ย้ำเตือนทุกระดับทุกหน่วย เพระคำนึงว่าผู้ชุมนุมก็เป็นคนไทย แต่การที่ผู้ชุมนุมกดดันทหารตั้งแต่ที่ราชดำเนิน ไทยคม เราใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก 7 ขั้นตน แต่ก็ถูกผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรง บุกถึงตัว ยึดอาวุธ ทำร้ายเจ้าหน้าที่ ทำร้ายสิ่งของเสียหาย" พล.ท.ดาว์พงษ์ กล่าว

และจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ ศอฉ.มีการปรับมาตการ กฎการใช้กำลังใหม่ โดยใช้ 7 ขั้นตอนตามเดิม แต่ภายหลังพบกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวอยู่ในผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่ได้รับการสูญเสีย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องใช้อาวุธเพื่อป้องกันตัว และหลีกเลี่ยงใช้อาวุธสงคราม แต่ใช้ปืนลูกซอง ใช้กระสุนจริงใน 3 กรณีเท่านั้น คือ

1. เพื่อหยุดยั้งการพยายามเข้ามาประชิดตัวของเจ้าหน้าที่ พยายามรักษาระยะต่อไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้ามาติดแนวเจ้าหน้าที่ ถ้ายังเข้ามาจะใช้ปืนลูกซองยิง

2.แต่ถ้าจำเป็นต้องยิงก็ให้ยิงต่ำยิงที่พื้น ช่วงล่าง ช่วงขา และไม่ให้ยิงผู้หญิงกับเด็กเป็นอันขาด และยิงป้องกันชีวิตตัวเอง

3. ใช้ตอบโต้กองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในผู้ชุมนุม ได้ย้ำว่าให้ยิงไปเมื่อเห็นเป้าหมายเท่านั้น และต้องไม่ให้เกิดความสูญเสียกับประชาชนที่เกี่ยวข้อง

และสิ่งที่ห้ามไว้เด็ดขาดคือเจ้าหน้าที่ทุกคนจะไม่มีการใช้ลูกระเบิดขว้าง M 79 และอาร์พีจี เพราะเป็นอาวุธที่ใช้ในสงครามเท่านั้น อำนาจทำลายล้างไม่ได้ตายเฉพาะคนที่ถือปืน แต่คนที่อยู่ใกล้เคียงก็ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตไปด้วย อาวุธที่ใช้จึงมีเพียงปืนพก ปืนลูกซอง ปืน M 16 หรือเอสเค

รองเสนาธิการทหารบก กล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ชุมนุมนั้น ตั้งแต่หลัง 10 เม.ย.53 เป็นต้นมาปรากฏชัดเจนว่ามีกองกำลังติดอาวุธอยู่ในผู้ชุมนุมแน่นอน โดยผู้ชุมนุมมีการดำเนินการใน 2 ส่วนคู่กัน คือผู้ชุมนุมโดยสงบที่พร้อมเข้าสู่กระบวนการปรองดองตามที่รัฐบาลเสนอ อีกส่วน เป็นพวกต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้พบว่าขณะนี้ผู้ใช้ความรุนแรง พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดภาพของสงครามกลางเมือง เพื่อสร้างภาพว่าเจ้าหน้าที่ไม่สามาถควบคุมสถานการณ์ได้ สร้างความสูญเสียให้เกิดกับประชาชน และอ้างว่าทหารฆ่าประชาชน เพื่อลดความชอบธรรมของเจ้าหน้าที่และรัฐบาล เพื่อสร้างความไม่เข้าใจของเจ้าหน้าที่กับผู้ชุมนุม และจะเห็นสถานการณ์เช่นนี้จะมีอยู่ต่อไป

และมีกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วน ปล่อยข่าวว่ามีทหารบางส่วนมาช่วยผู้ชุมนุมแล้ว หรือมีการยิงกันขึ้นในกรมทหารราบที่ 11 ซึ่งไม่เป็นความจริง ในทางตรงข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นกับแกนนำบางส่วนที่มีความเห็นขัดแย้งกันเอง แต่ถูกปกปิดจากแกนนำ มีการทะเลาะกันระหว่างการ์ด นปช.หลายกลุ่ม ทำให้เกิดการสูญเสีย

รองเสนาธิการทหารบก กล่าวว่า ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นว่าเจ้าหน้าที่ทุกคน ทั้งพลเรือน ตำรวจ ทหาร เป็นลูกหลานของประชาชน และไม่มีเจตนาทำร้ายประชาชนโดยเด็ดขาด แต่มีคำกล่าวของแกนนำบางคนใช้คำพูดว่าให้ทหารหยุดฆ่าประชาชน ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ใช้ผลของการสูญเสียที่เกิดขึ้นมาเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนข้อเท็จจริง พยายามสร้างภาพว่าทหารเป็นศัตรูประชาชน โดยไม่ได้พูดถึงเหตุที่เกิดจากการกระทำที่ไม่ได้ชุมนุมโดยสันติ เหตุจากกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในผู้ชุมนุม ซึ่งแกนนำจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

ในข้อเท็จจริงนั้นเจ้าหน้าที่ทุกคนได้ใช้อาวุธตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความสงบแก่ชาติบ้านเมืองโดยเร็วที่สุด โดยยึดกรอบกฎหมายบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และความเป็นคนไทยด้วยกัน พร้อมขอความร่วมมือผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมโดยสันติและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายได้ออกจากพื้นที่ชุมนุม ส่วนผู้ที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่าได้เข้าไปในบริเวณการชุมนุม ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นการขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ เพราะมีกองกำลังติดอาวุธปะปนอยู่ เพื่อความปลอดภัย

ด้าน พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ใช้ความอะลุ่มอล่วยในการปฏิบัติ ไม่ใช้ความรุนแรง เมื่อมีมวลชนมากดดันพยายามหลีกเลี่ยงและถอนตัวออกมา แต่หลังเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. ทำให้เห็นว่ามีกองกำลังติดอาวุธแฝงตัวในผู้ชุมนุม ทำให้เกิดความเสียหายบาดเจ็บล้มตายกับเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันได้ใช้กำลังจาก 3 หน่วยคือ กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ และกองพลทหารราบที่ 9 เข้าไปดำเนินการ

แต่ล่าสุดมีการยิง M 79 ลูกระเบิดขว้าง และอาวุธสงครามเข้าใส่พื้นที่ที่ทหารและตำรวจวางกำลังอยู่นับครั้งไม่ถ้วน รวมทั้งประชาชนที่สัญจรไปมาได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต มีการเผารถ เผายางรถยนต์ ทำให้ต้องมีมาตรการปฏิบัติให้รัดกุมเข้มงวดมากขึ้น จะต้องพยายามแยกแยะประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือมวลชนที่มาชุมนุมโดยสงบ สันติ ออกจากกลุ่มก่อการร้ายให้ได้

อย่างไรก็ตามหน่วยต่าง ๆ ยังคงใช้มาตรการ 7 ขั้นตอนตามที่ได้รับคำสั่ง และกำชับในเรื่องการใช้อาวุธ หลีกเลี่ยงอย่างที่สุดไม่ให้กระทบต่อชีวิตประชาชน และไม่ทำให้เกิดความเสียหายในภาพรวม

พล.ต.กัมปนาท รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ กล่าวยืนยันว่าทหารทุกคนไม่มีเจตนาทำร้ายประชาชนผู้บริสุทธิซึ่งเป็นคนไทย ซึ่งทางหน่วยได้รับภารกิจในการตั้งด่านตรวจค้นอาวุธ สิ่งผิดกฎหมายที่ผ่านเข้ามาในพื้นที่ชุมนุม

ทั้งนี้ขอทำความเข้าใจกับประชาชนถึงเหตุการณ์เมื่อวานนี้จนถึงวันนี้ ที่มีความพยายามของผู้ชุมนุมเข้ามารื้อถอนแนวกั้น การตั้งด่านของเจ้าหน้าที่ มีการนำกำลังบางส่วนโอบล้อมเจ้าหน้าที่ ทำให้ตองมีการเพิ่มกำลังเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ แต่ผู้ชุมนุมได้เพิ่มกำลังกดดัน ทำให้เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องผลักดันผู้ชุมนุมออกนอกเขตหวงห้าม และพบว่ามีเจ้าหน้าที่ถูก M79 และอาวุธสงคราม และพบว่ามีกองกำลังติดอาวุธอยู่หลังมวลชน ระดมยิงเจ้าหน้าที่ ทำให้ต้องมีการทำความเข้าใจกับประชาชนให้ห่างพื้นที่หวงห้าม 50-100 ม.เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าและการใช้อาวุธ ขณะที่เจ้าหน้าที่จะใช้อาวุธตามขั้นตอน

พล.ต.สุรศักดิ์ บุญศิริ ผู้บัญชาการกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ กล่าวว่า ทางหน่วยได้ถูกกำลังปิดล้อมบริเวณแยกวิทยุ สวนลุมไนท์พลาซ่า ซึ่งตลอดการปฎิบัติการเมื่อวันที่ 13-14 พ.ค.ที่ผานมา ทางหน่วยถูกยิงด้วยเครื่องยิงM79 ตลอดแนวถึง 29 นัด แต่หน่วยได้ใช้มาตรการตามขั้นตอน และได้กำชับกำลังพลไม่ให้มีการยิงตอบโต้ นอกจากจำเป็น แต่หากยิงไม่ใช่ยิงลำตัว แต่ยิงที่ขา และยิงเมื่อเห็นกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งเป็นไปตามที่ ศอฉ.กำหนด

ขณะที่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจต่อญาติครอบครัวของผู้เสียชีวิต และผู้ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ศอฉ.ได้พยายามใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อกดดันให้ยุติการชุมนุมในบริเวณพื้นที่แยกราชประสงค์ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ และเป็นธรรมดาของการปฏิบัติภารกิจในการรักษาความสงบเรีบร้อยที่ต้องเผชิญกับกองกำลังติดอาวุธที่แฝงตัวอยู่ในการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงความสูญเสียที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 16 คน บาดเจ็บกว่า 140 คน

โดยการเสียชีวิตและการบาดเจ็บ อาจเกิดได้ใน 4 กรณีดังนี้ 1. เกิดจากการทำร้ายกันเองระหว่างการ์ดของนปช. ซึ่งมีความขัดแย้ง และมีข้อมูลเป็นที่ประจักษ์แก่พี่น้องสื่อมวลชน 2. เป็นการสูญเสียเนื่องจากการยิงอาวุธสงคราม ไม่ว่าจะเป็นอาวุธปืนเล็กยาว M 79 ลูกระเบิดขว้าง ประทัดยักษ์ ซึ่งเกิดจากการกระทำของกลุ่มก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในพื้นที่การชุมนุม

3. เกิดจากการที่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบและไม่พอใจการชุมนุมของกลุ่มนปช.ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ออกมาทำร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เข้าควบคุมและดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว และ 4. ไม่ปฏิเสธความรับผิดชอบว่าในกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมพยายามที่จะเคลื่อนที่เข้ากดดันเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ในด่านต่าง ๆ เจ้าหน้าที่จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาวุธปืนลูกซองในการยิงลงพื้น และควบคุมกรวยกระสุนไม่ให้สูงเกินหัวเข่า เพียงพอที่จะหยุดยั้งกลุ่มผู้ชุมนุมที่พยายามจะเข้ากดดันเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ โดยไม่ได้หวังเอาชีวิต

ทั้ง 4 กรณีนี้อาจจะส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ ซึ่งพยายามอย่างที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุเช่นนี้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ