"อภิสิทธิ์"โต้"เฉลิม"สับสนตัวเลขศก. ยืนยันจัดงบปี 54 ไม่ใช่เรื่องสูญเปล่า

ข่าวการเมือง Wednesday May 26, 2010 18:36 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 54 ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย(พท.) ยังมีความเข้าใจผิดอย่างรุนแรงในเรื่องของข้อมูลทางเศรษฐกิจว่ามีความขัดแย้งกันเองและนำการบริหารประเทศไปเปรียบเทียบเหมือนกับการบริหารบริษัทไม่ได้

"ที่ท่าน(ร.ต.อ.เฉลิม)พูดว่ารัฐบาลมีความสับสนใช้ตัวเลขขัดแย้งกัน ไม่ใช่รัฐบาลที่สับสน ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน สอดคล้องต้องกันทั้งหมดและเป็นฐานตัวที่เราใช้ในการประเมินภาวะเศรษฐกิจเพื่อจัดทำงบประมาณ" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม ได้ระบุถึงตัวเลขประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)ปี 54 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) ขยายตัวที่ระดับ 3.5-4.5% ซึ่งเป็นจีดีพี ณ ราคาคงที่ ซึ่งหักอัตราเงินเฟ้อออกไปแล้ว ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของสำนักงบประมาณที่ระบุไว้ในเอกสารงบประมาณระบุว่า ขยายตัวที่ระดับ 7.5% ซึ่งเป็นจีดีพี ณ ราคาประจำปี

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดินแตกต่างจากการบริหารบริษัท อย่างเรื่องของงบประจำ 80% ของงบประมาณทั้งหมดหากคิดว่าเป็นเรื่องสูญเปล่านั้นคงจะบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ เช่น งบ 7.8 หมื่นล้านบาทที่ใช้ในโครงการเรียนฟรี 15 ปีสำหรับเด็กนักเรียนกว่า 13 ล้านคน เพราะถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับประเทศในการสร้างคุณภาพประชากร เช่นเดียวกับงบโครงการอาหารกลางวัน นมโรงเรียน กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษา หรืองบ 3.2 หมื่นล้านบาทที่ใช้ในโครงการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ งบโครงการหลักประกันสุขภาพอีกนับแสนล้านบาท งบโครงการประกันรายได้เกษตรกร

"พอใช้ฐานความคิดที่ผิดก็มีบทสรุปที่ผิด...ร.ต.อ.เฉลิม และพรรคเพื่อไทยลุกขึ้นมายืนยันกับพี่น้องประชาชนทั้งประเทศว่าการจัดงบประมาณเพื่อการศึกษา เรื่องอาหารกลางวัน เรื่องนม เรื่องกองทุนกู้ยืมสูญเปล่า ถ้าท่านยืนยันผมไม่มีปัญหา จะช่วยไปบอกประชาชนว่าท่านคิดว่าสูญเปล่า" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า มั่นใจว่าในส่วนหนี้สาธารณะจะไม่สูงเกิน 60% หากรัฐบาลสามารถประคับประคองสถานการณ์การเมืองให้สงบเหมือนใน 3 เดือนแรก และไม่มีทางเป็นไปได้ที่หนี้สาธารณะจะสูงเกินกว่า 100% อย่างที่เกิดวิกตในต่างประเทศในขณะนี้ และจะทำให้รัฐบาลมีฐานะการเงินการคลังเข้มแข็งได้ หนี้สาธารณะที่เคยประเมินไว้ตอนนี้อยู่ที่ 42% และคาดว่าสิ้นปีจะอยู่ที่ 47%

"ประเทศไทยไม่มีทางไปถึง 100% กว่าแน่นอน และหากประคับคองทำให้สถานการณ์บ้านเมืองสงบเหมือนในช่วง 3 เดือนแรก หนี้สาธารณะก็จะไม่เกิน 60% และมั่นใจว่าจะทำให้รัฐบาลมีฐานะการเงินการคลังที่เข้มแข็งแน่นอน" นายกรัฐมนตรี ระบุ

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าสนับสนุนโครงการที่เป็นประโยชน์ตามนโยบายของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้ทำไว้ เช่น การเพิ่มเงินให้กองทุนหมูบ้านตามขนาดหมู่บ้าน รวมถึงโครงการโอท็อปที่รัฐบาลกำลังจะดำเนินนโยบายให้สัญญลักษณ์โอท็อปเป็นที่ยอมรับทั้งด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้าทั้งในและต่างประเทศ

ส่วนการจัดทำงบประมาณที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่า ให้งบฯ ในส่วนกระทรวงที่จัดหารายได้น้อยเกินไป นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า สัดส่วนงบประมาณของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือกระทรวงพาณิชย์เพิ่มสูงขึ้น เมื่อเทียบกับกระทรวงกลาโหม หรือกระทรวงอื่นๆ และในขณะนี้กำลังจัดทำแผนรองรับเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณมีความเป็นบูรณาการทุกกระทรวง

ในส่วนโครงการไทยเข้มแข็ง เดิมรัฐบาลมีแผนกู้เงินราว 8 แสนล้านบาทเพื่อนำมาใช้ในโครงการดังกล่าว แต่ในขณะนี้การจัดเก็บรายได้สูงขึ้นมากจนเกินเป้าหมาย ทำให้ไม่จำเป็นต้องกู้เงินภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้าบาท เพราะรัฐบาลเองมีเจตนาที่ชัดเจนที่ไม่ต้องการเพิ่มสัดส่วนหนี้สาธารณะ จึงผ่องถ่ายงบในโครงการไทยเข้มแข็งจากเดิมที่เป็นการกู้เงินพิเศษกลับไปสู่ในส่วนงบประมาณประจำ

ในส่วนอื่นรัฐบาลตั้งใจว่าจะทำให้เกิดความสำคัญสูงสุด สำหรับคนที่จะมาจัดทำงบประมาณฯ ปี 55-56 ต่อไป พร้อมยืนยันการกู้เงินแบบพิเศษ ไม่ได้เกิดเฉพาะในรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดของพ.ต..ท.ทักษิณก็มีการออกพ.ร.ก.ขอกู้เงินลักษณะนี้มาแล้ว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ