นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้จัดการรัฐบาล ระบุว่า การประชุมพรรคประชาธิปัตย์บ่ายวันนี้จะหารือถึงการเลือกส.ส.พรรคอื่นขึ้นมาทำหน้าที่แทนในส่วนพรรคเพื่อแผ่นดินบางส่วน และมั่นใจตอบคำถามสังคมได้หากมีการดึงพรรคการเมืองอื่นมาร่วมรัฐบาล โดยเหตุผลสำคัญคือองการให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและมีเสียงมากพอที่จะให้ผ่านกฎหมายสำคัญๆ เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2554 ในวาระ 2 และ 3
"ถ้าเป็นชื่ออาจจะใช่ ถ้าเป็นกลุ่มอาจจะไม่ใช่ รอตอนบ่ายสามแล้วกัน...เสียงพรรคร่วมฯ ต้องเกินกึ่งหนึ่งของส.ส.ในสภา แต่เสียงต้องสบายใจได้ว่าไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองเกิดขึ้น"นายสุเทพ กล่าวตอบคำถามว่าพรรคเพื่อแผ่นดินจะยังอยู่ร่วมรัฐบาลหรือไม่
ขณะที่มีรายงานข่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลจะปรับเก้าอี้รัฐมนตรีในส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินคืนมา 2 ตำแหน่งจาก 4 ตำแหน่ง และมีกระแสข่าวการรดึงพรรคมาตุภูมิ ภายใต้การนำของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตนกลิน แกนนำคนสำคัญ เข้ามาเข้าร่วมรัฐบาล
นายสุเทพ มั่นใจว่าหากจะมีการดึงพรรคการเมืองอื่น เช่น ประชาราช หรือ มาตุภูมิขึ้นมาก็มั่นใจว่าจะสามารถตอบคำถามกับสังคมได้ เพราะในฐานะผู้จัดการรัฐบาลจะพยามามดูแลให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ซึ่งเหตุผลหากมีการดึงพรรคการเมืองอื่นเข้ามาร่วมรัฐบาลเพราะต้องการให้รัฐบาลมีเสียงเพียงพอที่จะผลักดันพ.ร.บ.งบประมาณฯ
พร้อมกันนี้ ยอมรับว่าในขณะนี้อาจจะมีความขัดแย้งกันระหว่างพรรคภูมิใจไทยและ ส.ส.บางส่วนของพรรคเพื่อแผ่นดินทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่ทั้งนี้ในการจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ต้นก็ได้รับทราบถึงกลุ่มส.ส.ของแต่ละพรรคเป็นอย่างดี ยอมรับว่าเรื่องนี้คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่การปรับคณะรัฐมนตรี และไม่ใช่การปล่อยให้พรรคภูมิใจไทยกดดันพรรคประชาธิปัตย์
"คงไม่ง่ายที่จะมาทำให้มากดดันตัวผม มั่นใจว่าการประชุมพรรคในวันนี้ ส.ส.ในพรรคและกรรมการบริหารพรคคจะเข้าใจถึงการตัดสินใจและข้อเสนอ"นายสุเทพ กล่าว
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวการดึงพ.ล.ต.อ.ประชา พรหมนอก เข้ามาร่วมรัฐบาล แม้จะเคยเป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า การที่จะดำเนินการอะไร เลือกจะแก้ปัญหาวันนี้ วันพรุ่งนี้ หรือวันมะรืนนี้ จะดูอนาคต ส่วนความตั้งใจของรัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่นั้น ไม่ได้คิดในแง่นั้น เพียงแต่ยึดหลักแนวทางของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเดินหน้าในการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศและประชาชนตามรูปแบบการปฎิรูปประเทศไทยหรือตามแผนปรองดอง ทำให้มีความจำเป็นต้องมีเสียงสภาฯ มากเพียงพอ