โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) ออกมาเรียกร้องให้แกนนำรัฐบาลและอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) หยุดการแทรกแซงกระบวนการพิจารณาคดียุบพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) กรณีกดดันให้พนักงานสอบสวนขอถอนตัวกลางคันเพื่อส่งผลให้หลักฐานในสำนวนคดีอ่อนลง
"อย่าคิดกระทำการใดที่เป็นการกดดันหรือแทรกแซงคดีดังกล่าว เพราะอำนาจรัฐนั้นมีแล้วก็หมดไปได้ แต่ความเป็นธรรมและความเที่ยงธรรมในการใช้กฎหมายนั้นจะต้องมีตลอดเวลา หากใช้อำนาจโดยมิชอบหรือลุแก่อำนาจ สักวันหนึ่งผลของการกระทำจะย้อนมาหาตนเองเมื่อหมดอำนาจลง" นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค พท.กล่าว
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า การที่พนักงานสอบสวนมาถอนตัวออกกลางคันเพราะถูกกดดันจากฝ่ายการเมือง เนื่องจากเห็นว่าคณะพนักงานสอบสวนชุดนี้ทำงานอย่างตรงไปตรงมาและมีการสอบพยานอย่างละเอียด หากนำพนักงานสอบสวนชุดนี้ไปให้ถ้อยคำต่อศาลย่อมทำให้ผลของคดีมีความชัดเจน ทำให้ข้อเท็จจริงมีน้ำหนักที่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบได้
"มีการทำทุกวิถีทางเพื่อให้สำนวนคดีอ่อนก่อนที่จะส่งไปถึงศาลรัฐธรรมนูญ" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า การที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดี DSI อนุญาตให้ถอนตัวนั้นเป็นเรื่องส่งผลต่อรูปคดี เนื่องจากคดีนี้มีพยานเอกสารและพยานบุคคลจำนวนมาก และเป็นการกระทำความผิดที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งคณะพนักงานสอบสวนชุดเดิมได้ติดตามแกะรอยเส้นทางการใช้จ่ายเงินทั้งสองเรื่องมาอย่างละเอียดจึงรู้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเป็นอย่างดีจนกระทั่งส่งสำนวนไปให้ กกต.และ กกต.ได้สรุปสำนวนเสนออัยการสูงสุด เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้พิจารณาวินิจฉัยยุบพรรค ปชป.แล้ว
โดยเฉพาะกรณีที่มีคนร้ายทุบรถและฉกข้อมูลคดียุบพรรคของพนักงานสอบสวนไปเมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นเจตนาของผู้กระทำว่าต้องการข้อมูลดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ในทางคดีของตนเอง ขณะเดียวกันก็เป็นการกดดันเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบคดีไปในตัว
"ทราบข่าวว่ามีการกักตัวพยานสำคัญในคดีไว้เพื่อจะให้กลับคำให้การในชั้นพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือวิชามารที่ถนัดของผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้" นายพร้อมพงศ์ กล่าว
โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า อย่าคิดกระทำการใดที่เป็นการกดดัน หรือแทรกแซงคดีดังกล่าวเพราะอำนาจรัฐนั้น มีแล้วก็หมดไปได้แต่ความเป็นธรรมและความเที่ยงธรรมในการใช้กฎหมายนั้นจะต้องมีตลอดเวลา หากใช้อำนาจโดยมิชอบหรือลุแก่อำนาจ สักวันหนึ่งผลของการกระทำจะย้อนมาหาตนเองเมื่อหมดอำนาจลง