นายอภิชาต ศักดิเศรษฐ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 กล่าวว่า กำหนดเป้าหมายการพิจารณางบปี 54 ไว้ 8 สัปดาห์ตั้งแต่วันที่ 7 มิ.ย.-28 ก.ค.53 โดยคาดว่าจะส่งรายงานต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้ที่ประชุมสภาฯ พิจารณาในวาระ 2 และ 3 ได้ตามกำหนดวันที่ 18-19 ส.ค.53
สำหรับการพิจารณาในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กมธ.ฯ มีข้อสังเกตเรื่องภาพรวมทางเศรษฐกิจ คือ มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ที่มีต่อธนาคารพาณิชย์ในการกระตุ้นเศรษฐกิจจากปัจจัยการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปทั้งจากปัจจัยภายในและเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม การก่อหนี้สาธารณะของรัฐบาลควรจัดทำแผนและการวิเคราะห์ผลกระทบที่จะเกิดต่อสภาวะเศรษฐกิจไทยในอนาคตเพื่อรักษาวินัยการคลัง และความเป็นไปได้ในการจัดเก็บรายได้ปี 2554 จำนวน 1.65 ล้านบาทที่อาจได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจจากกลุ่มประเทศยุโรปใต้ ปัญหาภัยแล้ง เพลี้ยกระโดด การจัดเก็บภาษีบางประเภท เช่น น้ำมัน ทั้งนี้เป้าหมายของ กมธ.คือ การลดความซ้ำซ้อนของภารกิจ การปฏิบัติตามกฎหมาย การมีมาตรการราคาที่ดี ประหยัด คุ้มค่าโดยเฉพาะโครงการไทยเข้มแข็ง ศักยภาพของหน่วยงานในการกระจายทรัพยากรอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
โฆษก กมธ.ฯ กล่าวว่า กมธ.ฯได้พิจารณางบประมาณของกระทรวงการคลัง 23 หน่วยงานเสร็จสิ้น ยังไม่มีการปรับลด ยกเว้นสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)ที่ยังรอเอกสารเพิ่มเติมเพื่อพิจารณา ซึ่งมีข้อสังเกตคือ ความคุ้มค่าของการเบิกจ่ายงบปี 53 ที่ยังล่าช้า การใช้ประโยชน์ของทรัพย์สินของรัฐที่ต้องเกิดประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่านี้ เช่น การออกโฉนดชุมชนที่ยังล่าช้า ความโปร่งใสในการจัดเก็บภาษีและเกณฑ์การจัดเก็บ เช่น ภาษีน้ำมัน ภาษีเหล้า ค่าใช้จ่ายสวัสดิการของภาครัฐที่สูงขึ้นทุกปี การเบิกจ่ายในโครงการไทยเข้มแข็งตาม พ.ร.ก.กู้เงินจำนวน 3.5 แสนล้านบาทที่ต้องให้ถึงประชาชนอย่างแท้จริง และการแก้ปัญหาราคาพืชผลจากระบบประกันรายได้เกษตรกร การแก้หนี้ภาคประชาชน และเสนอให้จัดตั้งระบบบริหารความเสี่ยงและหนี้สินของเกษตรกร การปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจ การลงทุนร่วมภาครัฐกับเอกชน
อย่างไรก็ดี งบประมาณของทุกกระทรวงจะเข้าไปสู่อนุ กมธ.พิจารณาปรับลดงบที่จะตั้งในวันที่ 14 มิ.ย.นี้อีกครั้ง เพื่อพิจารณาปรับลดรายจ่ายลงทุนที่ซ้ำซ้อน เช่น งบครุภัณฑ์ สัมมนา ประชาสัมพันธ์ คอมพิวเตอร์
สำหรับเกณฑ์การปรับลดงบประมาณที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เคยระบุว่า จะจัดลำดับความสำคัญของโครงการลงทุนต่างๆ ใหม่นั้น นายอภิชาต กล่าวว่า กมธ.ฯ กำลังขอรายละเอียดจากหน่วยงานต่างๆและ ก.พ.ร.เพื่อดูดัชนีชี้วัดมูลค่าทางเศรษฐกิจจากโครงการในปีงบประมาณที่ผ่านมา
"ยืนยันว่าจะปรับลดแน่ในส่วนที่เป็นไขมันส่วนเกินและไม่มีประโยชน์ในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจขณะนี้" นายอภิชาต กล่าว