นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่า ทีมเศรษฐกิจของพรรคได้หารือกรณีการปั่นหุ้นไทยคม โดยมีข้อมูลเพิ่มจากการตรวจสอบพบว่ามีกระบวนการในลักษณะปั่นหุ้นสูงผิดปกติในช่วงวันที่ 14-17 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองทราบข้อมูลการซื้อขายภายในเข้ามาดำเนินการเหมือนครั้งที่มีการเทคโอเวอร์ธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารสินเอเซียในอดีตซึ่งเกิดในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น
สำหรับการตรวจสอบเรื่องนี้ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ต้องอยู่บนความกดดัน เพราะมีฝ่ายการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคณะทำงานของพรรคฯจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน สภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบเรื่องนี้ ควบคู่ไปกับการตรวจสอบของ ก.ล.ต.
ขณะที่นายประเกียรติ นาสิมมา คณะทำงานฝ่ายกฎหมาย กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้มีเจตนาที่จะซื้อดาวเทียมไทยคมตั้งแต่ต้น แต่เหตุเริ่มจากการที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และนายศิริโชค โสภา เลขานุการส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสิงคโปร์ เพื่อเจรจาซื้อดาวเทียม จากนั้นได้มีการทยอยซื้อขายหุ้นตั้งแต่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นจำนวน 200-300 ล้านบาท รวมถึงมีการวางแผนการณ์สร้างกระแสความรักชาติก่อนที่รัฐบาลจะออกมาให้ข่าวการซื้อดาวเทียม
ทั้งนี้ ตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์ การออกประกาศใดๆ ที่จะมีผลกระทบต่อราคาหุ้น ต้องมีการแจ้งหยุดการซื้อขายต่อตลาดหลักทรัพย์ก่อน ซึ่งนายกรณ์ในฐานะอดีตเคยเป็นโบรกเกอร์น่าจะทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้น ก.ล.ต.ควรตรวจสอบประเด็นนี้ว่า นายกรัฐมนตรีได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนออกมาประกาศซื้อดาวเทียมหรือไม่ ซึ่งคณะทำงานฯ จะรวบรวมข้อมูลเรื่องนี้มาเปิดเผยอีกครั้ง