ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุกรณีที่มีข่าวรัฐบาลเตรียมเจรจาขอซื้อหุ้น บมจ.ไทยคม(THCOM) นั้นมีวาระซ่อนเร้น เนื่องจากมีการใช้ข้อมูลภายใน(Insider) ไปสร้างราคา(ปั่นหุ้น) ทำให้คนในรัฐบาลได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยกว่า 800 ล้านบาท โดยเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ออกมาแสดงความรับผิดชอบ
"เรื่องนี้มีวาระซ่อนเร้น มีคนใช้สถานะล่วงรู้หรืออินไซเดอร์หากำไรนับพันล้านจากการซื้อมาขายไป ลักษณะอย่างนี้ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องถือว่ามีพฤติกรรมเป็นโจร เอาเงินจากคราบน้ำตาคนจน จึงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ นายกรณ์ ตอบคำถามทั้ง 7 ข้อ ถ้านายอภิสิทธิ์และนายกรณ์มีความละอายใจ คุณไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ ผมฟันธงมีพวกอัปรีย์จันไรได้ประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 800 ล้านบาท เปิดสภาผมก็จะยื่นญัตติถามหรือไม่ก็ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในปีหน้า เรื่องนี้ชัดเจน ถ้าไม่ใช่พรรคพวกในรัฐบาลได้ประโยชน์แล้วใครจะได้ประโยชน์" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนเองขอตั้งคำถามถึงนายกรณ์ในกรณีดังกล่าว 7 ข้อ ได้แก่ ข้อที่ 1 นายกรณ์และนายศิริโชค โสภา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางไปพบผู้บริหารกองทุนเทมาเส็ค เมื่อวันที่ 12 เม.ย.53 ที่ประเทศสิงคโปร์ในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะ รมว.คลัง
"เนื่องจากนายกรณ์ให้สัมภาษณ์ว่าไปอย่างเงียบๆ หากไปในฐานะรัฐมนตรีคลังควรจะต้องมีเจ้าหน้าที่ หรือข้าราชการกระทรวงเดินทางไปด้วย ไม่ใช่นายศิริโชค ซึ่งเป็น ส.ส.เท่านั้น หลังจากนายกรณ์พบผู้บริหารกองทุนเทมาเส็คแล้ว ทางกองทุนฯ ก็แถลงว่า มาพบเป็นเรื่องไม่ปกติ เป็นการมาพบเพื่อเรื่องส่วนตัว" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
คำถามข้อที่ 2 ระหว่างการสนทนาของนายกรณ์กับผู้บริหารกองทุนเทมาเส็ค ได้มีการแจ้งให้นายกรณ์ทราบว่า หากมีการติดต่อซื้อหุ้นของกองทุนเทมาเส็คให้นายกรณ์ติดต่อกับ บมจ.ไทยคม และ บมจ.ชินคอร์ป โดยตรง แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่า จนถึงปัจจุบันนายกรณ์ ยังไม่ได้มีการติดต่อกับบริษัททั้งสอง แต่นายกรณ์กลับให้สัมภาษณ์และประกาศว่าจะซื้อหุ้นจากเทมาเส็ค ซึ่งหากนายกรณ์และรัฐบาลมีเจตนาที่จะซื้อหุ้นจากกองทุนเทมาเส็ค ทำไมจึงไม่มีการติดต่อกับทั้งสองบริษัท
คำถามที่ 3 โครงสร้างผู้ถือหุ้น บมจ.ไทยคม ประกอบด้วย บมจ.ชินคอร์ป ถือหุ้น 41% ผู้ถือหุ้นรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์ 59% ปัจจุบันไทยคมเป็นของประเทศไทย ไม่ใช่ของประเทศสิงคโปร์ การที่นายกรณ์และรัฐบาลสร้างกระแสชาตินิยมเป็นสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่
คำถามข้อที่ 4 กรณีที่นายกฯ รมว.คลัง และนายศิริโชค ประกาศว่ารัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคมทราบหรือไม่ว่าการกระทำดังกล่าวมีผลต่อราคาขึ้นลงของราคาหุ้น บมจ.ไทยคม อยากทราบว่า นายกรณ์ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์ทราบก่อนหรือไม่ เพราะเมื่อทราบแล้ว ตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดการซื้อขายเพื้อให้มีการชี้แจงข้อมูล
"หากไม่มีการแจ้งถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าเกิดขึ้นในต่างประเทศ นายกรณ์จะต้องลาออกทันทีเพราะขณะนี้นายกรณ์เป็นรัฐมนตรีคลัง ไม่ใช่พ่อค้าเหมือนในอดีต" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
คำถามข้อที่ 5 จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ในเดือน มี.ค.53 ปริมาณการซื้อขายหุ้นของ บมจ.ไทยคม เพิ่มมากขึ้นเป็นวันละ 100 ล้านบาท 200 ล้านบาท 346 ล้านบาท 418 ล้านบาท บางวันเพิ่มสูงถึง 734 ล้านบาท นับได้ว่าเป็นการซื้อขายมากขึ้นกว่าปกติ เพราะโดยปกติมีการซื้อขายเพียงไม่กี่สิบล้านบาท ที่น่าสังเกต คือ วันที่ 8 เม.ย.53 ก่อนที่นายกรณ์จะเดินทางไปพบผู้บริหารเทมาเส็คในวันที่ 12 เม.ย.53 มีการซื้อขายจำนวน 255 ล้านบาท และในวันที่ 14 มิ.ย.53 ที่มีข่าวว่า รัฐบาลจะซื้อดาวเทียมไทยคมผ่าน นสพ.บางกอกโพสต์ฉบับเดียว ทำให้หุ้นไทยคมในตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้นชนเพดาน จากราคาหุ้น 5.45 บาท เพิ่มขึ้นถึง 7.05 บาท สูงขึ้น 29% มียอดซื้อขาย 124 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 825 ล้านบาท
คำถามข้อที่ 6 การที่นายกรณ์อธิบายว่าจะซื้อเฉพาะดาวเทียม โดยไม่ซื้อ บมจ.ไทยคม นั้นทำได้จริงหรือ เรื่องนี้เป็นการสร้างความสับสนและเข้าใจผิดและปั่นกระแสคลั่งชาติขึ้นมา
คำถามข้อที่ 7 ถ้าจะซื้อคืนดาวเทียม รัฐบาลได้เตรียมการบริหารจัดการอย่างไร เพราะพบว่า ไม่มีการเตรียมการณ์เรื่องนี้