กมธ.การเงินฯ เรียก"พร้อมพงศ์-ประเกียรติ"แจงซื้อไทยคม 30 มิ.ย.

ข่าวการเมือง Wednesday June 23, 2010 17:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ เลขานุการ คณะกรรมาธิการ การเงิน การคลัง การธนาคาร และ สถาบันการเงิน จะเชิญนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และนายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย มาให้ข้อมูลในวันที่ 30 มิ.ย. หลังจากที่ยบุคคลทั้งสองออกมาให้แถลงข่าวว่ารัฐบาลให้ข่าวซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากกลุ่มเทมาเซค ส่งผลทำให้หุ้นไทยคมมีราคาสูงขึ้น และเป็นการเตรียมกระสุนไว้ 300 ล้านบาทหากมีการเลือกตั้ง

นอกจากนั้น นายพร้อมพงษ์ ยังระบุว่ามีผู้ได้รับประโยชน์จากการให้ข่าวซื้อไทยคม อักษรย่อ ก. และ ศ. ซึ่งต่อมาวันที่ 22 มิ.ย. นายพร้อมพงศ์ได้เปิดเผยชื่อภายหลังว่าคือนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และอักษรย่อ ศ. คือนายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และนายพร้อมพงศ์ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ประธานกมธ.

นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมาธิการในวันที่ 30 มิ.ย.จะมีการเชิญสำนักงานตรวจแผ่นดิน และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาร่วมชี้แจงต่อ กมธ.ด้วย

"หากนายพร้อมพงศ์ไม่มาชี้แจง หรือชี้แจงข้อมูลต่อกมธ.ไม่ครบถ้วน พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการฟ้องร้องนายพร้อมพงศ์และนายประเกียรติเพื่อให้ มีการดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป เพราะการกล่าวหาอันเป็นเท็จนอกจากจะสร้างความเสียหายให้กับทั้งนายกรณ์และ นายศิริโชคแล้ว ที่สำคัญส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจประเทศได้รับความเสียหายไปด้วย" นายอรรถวิชช์กล่าว

ด้านนายประเกียรติ กล่าวว่า การชี้แจงของรมว.คลังต่อคณะอนุกรรมาธิการฯเมื่อวานนี้ ไม่ได้ปฏิเสธว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายดาวเทียมไทยคม ดังนั้น การที่หุ้นไทยคมมีการซื้อขายผิดปกติน่าจะมาจากการที่มีคนบางกลุ่มเข้าปั่นหุ้น เรื่องนี้จึงน่าจะทำเป็นกระบวนการ

และขณะนี้คณะกรรมการเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทยกำลังตรวสอบว่ามีกลุ่มที่ได้ประโยชน์เป็นกลุ่มเดียวกับการซื้อขายธนาคารนครหลวงไทยหรือไม่ ถ้าเป็นกลุ่มเดียวกันก็อาจจะมีการใช้ข้อมูลอินไซต์เพื่อหาประโยชน์ เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าการซื้อดาวเทียมไทยคมคืนต้องการสร้างกระแสรักชาติ เรื่องนี้จึงฟันธงไปเลยว่ามีการปั่นหุ้นแน่นอน เรื่องดังกล่าวยังถือว่าเป็นการผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 240 เพราะมีการให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ จนทำให้หุ้นสูงผิดปกติ จึงอยากให้คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.)เข้าไปตรวจสอบ และหากผิดจริงก็ก็มีโทษจำคุกถึง 2 ปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ