"เรืองไกร"ยื่น"กรณ์"สอบภาษีหลัง"สนธิ-วีระ"สาวไส้กันเรื่องเงินบริจาค

ข่าวการเมือง Monday June 28, 2010 17:33 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ยื่นหนังสือถึง นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2 กรณี คือ กรณีนายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ทำจดหมายในนามแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เพื่อโต้ตอบนายวีระ สมความคิด ซึ่งมีเนื้อหาบางส่วนที่แสดงให้เห็นว่ามีเงินได้พึงประเมินเกิดขึ้นในนามบุคคลต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากบุคคลอื่นในรูปเงินบริจาค ซึ่งควรถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(8) ที่จะต้องมีการเสียภาษีปีละ 2 ครั้ง

นางเรืองไกร กล่าวว่า การรับเงินบริจาคดังกล่าวอาจแสดงให้เชื่อได้ว่า มีบุคคลธรรมดา(ในรูปกองทุนแยกจากบัญชีมูลนิธิ) ได้รับเงินได้พึงประเมินที่ต้องนำมารวมคำนวณภาษีตามประมวลรัษฎากร เช่น นายวีระ, นายสุวัตร อภัยภักดิ์, นายพิภพ ธงไชย, พลตรี จำลอง ศรีเมือง และผู้บริหาร ASTV เป็นต้น

จากจดหมายของนายสนธิ ปรากฏว่ามีการได้รับเงินได้พึงประเมินในรูปแบบต่าง ๆ เช่น กองทุนสู้คดี กองทุนรักษาผู้บาดเจ็บ เป็นต้น ซึ่งเงินดังกล่าวมีชื่อบุคคลเป็นผู้ดูแล ดังนั้น เงินที่อยู่ในชื่อบุคคลต่าง ๆ ย่อมอาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากร ที่กรมสรรพากรมีอำนาจตรวจสอบว่าเงินที่บุคคลดูแลนั้นอยู่ในหนังสือสำคัญใด เช่น สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารต่าง ๆ และเงินเหล่านั้นได้รับมาตั้งแต่ช่วงปีใด แต่ละปีมีเงินได้เท่าไร มีการเสียภาษีจากเงินได้ที่ปรากฏในหนังสือสำคัญแล้วหรือไม่ รวมทั้งตรวจสอบการโอนเงินได้ให้แก่บุคคลอื่นนั้น บุคคลอื่นที่ได้รับเงินไปนั้น มีใครบ้าง ได้รับในฐานะอะไร

สำหรับเงินบริจาคในนามมูลนิธิ ถ้ามีการจดทะเบียนมูลนิธิถูกต้องตามกฎหมาย ย่อมถือเป็นนิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 10 จากรายได้ก่อนหักรายจ่ายใด ๆ ทั้งนี้ มูลนิธิจะได้รับยกเว้นรายได้ตามมาตรา 65 ทวิ (13) คือ เงินค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงที่ได้รับจากสมาชิก หรือเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาคหรือจากการให้โดยเสน่หา แล้วแต่กรณี และหากเป็นการเก็บเงินในส่วนตัวหากเกิน 4 ล้านบาท จะต้องเสียภาษี ร้อยละ 37

นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า กรมสรรพากรควรมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงตามข่าวว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องได้ทำหน้าที่เสียภาษีให้รัฐอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วหรือไม่ และหากตรวจสอบพบว่าบุคคลและองค์กรดังกล่าวให้เสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้แนบเอกสารที่อ้างว่า เป็นเงินบริจาคของมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินเพื่อพันธมิตรสู้คดีตั้งแต่สิงหาคม 2552- กุมภาพันธ์ 2553 ปรากฏว่ามีเงินเหลือในบัญชี 10,737,284.83 บาท

พร้อมกันนั้นก็ได้ขอให้ตรวจสอบกรณีนายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี ที่ระบุว่าพรรคเพื่อไทยให้เงินเดือนอีก 50,000 บาท ซึ่งเงินดังกล่าวควรเป็นเงินได้พึงประเมินในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อกรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมของปีถัดไปจึงขอให้ตรวจสอบว่าเงินได้จากพรรคการเมืองดังกล่าวผู้ได้รับเงินมีการนำเงินได้นั้นไปรวมเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรมาตรา 40(1) ถูกต้องแล้วหรือไม่ และเงินได้นั้นมีการรับมาแล้วในปีภาษีใดบ้าง


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ