นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุหากรัฐบาลพิจารณายกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน(พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) แล้วอาจจะนำ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร(พ.ร.บ.มั่นคง) กลับมาใช้แทนก็ได้
ทั้งนี้ ส่วนแรกอาจให้มีการเฝ้าระวังร่วมกันของตำรวจและพลเรือน โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด(กอ.รมน.จังหวัด) จะเป็นเจ้าภาพดูแล และมีทหารเข้ามาเป็นผู้ช่วยพนักงาน ขณะที่ส่วนที่สองมีการประกาศพื้นที่ความมั่นคงและมีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) ที่มีอำนาจเหมือน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองเจ้าหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีข้อเสนอให้นำ พ.ร.บ.มั่นคงฯ กลับมาใช้ มีเพียงแต่เสนอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เท่านั้น ซึ่งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)จะเป็นผู้พิจารณาจากข้อเท็จจริงตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี โดยมีเป้าหมายให้สถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
"พื้นที่ที่สถานการณ์เปราะบาง ถ้ายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วต้องมั่นใจว่าต้องคุมสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะพื้นที่ใน กทม.และพื้นที่รอบๆ ที่ต้องมั่นใจว่าต้องคุมสถานการณ์ให้ได้ โดยในจังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ ต้องดูว่าตำรวจสามารถทำงานได้หรือไม่ ถ้ามีการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถ้าตำรวจดูแลได้ก็สามารถยกเลิกได้" นายปณิธาน กล่าว
ส่วนกรณีที่เกิดเหตุยิงจรวดอาร์พีจีใส่คลังน้ำมันกรมพลาธิการนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า กลุ่มคนที่ปฏิบัติการมีศักยภาพและดูเหมือนว่าสามารถเข้าถึงข้อมูลบางอย่างที่นำมาใช้ในการปฏิบัติการเป็นอย่างดี เหมือนคนกลุ่มนี้รู้ความเคลื่อนไหวของรัฐ เช่น การเข้าไปในกรมพลาธิการอย่างสะดวก โดยขณะนี้เจ้าหน้าทางการข่าวได้เฝ้าระวังและกดดันกลุ่มผู้ต้องสงสัยอยู่ พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีความเชื่อมโยงกับการชุมนุมที่ผ่านมา และน่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ในการก่อวินาศกรรม ซึ่งมีกลุ่มที่มีสนับสนุนการเคลื่อนไหวครั้งนี้อยู่ทำให้สามารถเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบ
"เจ้าหน้าที่ทางความมั่นคงจะสอบสวนต่อไปว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับกลุ่มที่ยิงอาร์พีจีใส่กระทรวงกลาโหมหรือไม่ ส่วนเรื่องที่วอร์รูมพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าจะมีการก่อวินาศกรรม 40 แห่งนั้น ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีการคุยกันเรื่องนี้" นายปณิธาน กล่าว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่จับตาดูทุกกลุ่มที่มีแนวโน้มจะก่อกิจกรรมเหล่านี้ ไม่ได้ระบุว่าเป็นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีประสบการณ์ที่สามารถก่อวินาศกรรมได้ ซึ่งคงมีไม่มากนัก โดยเจ้าหน้าที่กำลังจับตาดูคนกลุ่มนี้อยู่ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง