นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายวาระประชาชนว่าเลียนแบบนโยบายประชานิยมว่า หากเรียกว่าเป็นการจัดงบแบบประชานิยมก็เป็นแบบรับผิดชอบ โดยผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็นประชาชนที่ควรได้รับ และตามหลักเศรษฐศาสตร์ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้นักเศรษฐศาสตร์จะสนับสนุนให้จัดงบประมาณแบบขาดดุลต่อเนื่องเพื่อหวังผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
นโยบายของพรรคในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ นโยบาย 6 มาตรการลดค่าครองชีพ มีประชาชนได้ประโยชน์ประมาณ 10 ล้านครอบครัว, นโยบายด้านการศึกษาที่รัฐบาลได้ขยายนโยบายเรียนฟรี 12 ปี เป็นเรียนฟรี 15 ปีอย่างมีคุณภาพนั้น ใช้งบ 73,000 ล้านบาท และในส่วนที่ช่วยสนับสนุนกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอีก 36,000 ล้านบาท รวมแล้ว 109,000 ล้านบาท โดยมีประชาชนได้ประโยชน์ทั้งสิ้น 12 ล้านครอบครัว
และ ยังมีเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ใช้เงิน 21,963 ล้านบาท โดยมีประชาชนผู้สูงอายุได้ประโยชน์เกือบ 5 ล้านครอบครัว, นโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ที่มีเกษตรกรที่ได้รับโดยตรงกว่า 4 ล้านครอบครัว โดยใช้เงิน 27,913 ล้านบาท และ การแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างครบวงจร ซึ่งมีประชาชนเข้าร่วมโครงการสมบูรณ์แล้ว 6 แสนคน ใช้เงินเพียง 1 หมื่นล้านบาท
นโยบายดังกล่าวมาจากหลักคิด 3 ข้อ คือ 1.จะต้องทำให้ประชาชนเข้มแข็งมากขึ้น 2.เป็นนโยบายที่มีผลการลงทุนเพื่อคน ซึ่งถือว่าจะได้ผลตอบแทนในเรื่องศักยภาพของประชาชนทั้งด้านความรู้ สุขภาพ การเข้าถึงโอกาสก้าวหน้าใจชีวิตมากกว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ใช้อย่างไม่รับผิดชอบ และ 3. ต้องอยู่บนพื้นฐานเฉลี่ยทุกข์สุข คือคนที่มีจ่ายภาษี ก็ต้องมีส่วนช่วยประชาชนที่มีน้อยและไม่ต้องจ่ายภาษี
โฆษก ปชป. กล่าวว่า นโยบายทั้งหมดในกลุ่มนี้ถือเป็นนโยบายใหม่ที่พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะแกนนำรัฐบาลได้ริเริ่มใช้เงินรวมทั้งสิ้น 209,625 ล้านบาท หากเทียบกับฐานะการคลังของรัฐบาลก็ถือว่าเป็นเงินที่ไม่มากนัก และใกล้เคียงกับการจัดเก็บรายได้ที่เพิ่มมากกว่าที่ประมาณการไว้ในปีนี้คือประมาณ 2 แสนล้านบาท
ส่วนการที่รัฐบาลไม่กู้เงินเพิ่มอีก 4 แสนล้านบาทนั้นก็ทำให้เศรษฐกิจกลับฟื้นและขยายตัวเป็น 6 %ในปีนี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และรัฐบาลก็ได้จัดงบประมาณแบบสมดุล
ซึ่งงบประมาณนี้ยังไม่รวมการเพิ่มงบประมาณในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่รัฐบาลนี้ได้จัดสรรงบรายหัวให้เพิ่มขึ้นตลอด 3 ปีรวมเพิ่ม 1 แสนกว่าล้าน หลังจากที่ 6 ปีก่อนหน้านี้ไม่มีการเพิ่มเลยด้วย ซึ่งรวมแล้วงบในส่วนนี้จะอยู่ที่ 3 แสนกว่าล้านบาทในการดูแลประชาชน 48 ล้านคนจึงถือว่าคุ้มค่า