ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกานัด 11 ส.ค.53 ลงมติว่าจะรับอุทธรณ์คดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว หรือไม่
"อยู่ระหว่างนัดเพื่อให้ที่ประชุมใหญ่ฯ ลงมติ" เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
เจ้าหน้าที่ศาลฎีกา กล่าวว่า เรื่องนี้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจะนัดประชุมลับ ก่อนที่จะแจ้งผลว่า มีมติให้รับหรือไม่รับอุทธรณ์เท่านั้น
ทั้งนี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.พ53 ให้ยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัว ที่ได้จากการขายหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น(SHIN) ให้แก่กลุ่มเทมาเส็ก รวมผลประโยชน์อื่นๆ รวม 4.63 หมื่นล้านบาทให้ตกเป็นของแผ่นดิน จากมูลค่าทั้งสิ้น 7.6 หมื่นล้านบาท ตามคำร้องของอัยการสูงสุด
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.53 นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คดีดังกล่าว ซึ่งเป็นเอกสารหลักฐานกว่า 246 หน้า โดยขอให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาพิจารณาเพิกถอนคำพิพากษายึดทรัพย์ดังกล่าว
และในวันเดียวกัน นายสมพร พงษ์สุวรรณ ทนายความของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และนายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของนายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้นำเอกสารหลักฐานมายื่นคำร้องอุทธรณ์เช่นกัน และท้ายคำร้องอุทธรณ์ยังมีคำขอทุเลาบังคับคดีไว้ก่อนด้วย
สำหรับสาระสำคัญของคำร้องอุทธรณ์ คือ นโยบายของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนั้นไม่ได้เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของครอบครัว พร้อมกันนี้ยังได้ยื่นบัญชีพยานบุคคลใหม่ และพยานบุคคลที่ศาลยังไม่ได้ดำเนินการไต่สวน ซึ่งทีมทนายความ เชื่อว่า คำร้องอุทธรณ์ครั้งนี้มีประเด็นใหม่ที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาได้