นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่(กมม.) ชี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลายเป็นแนวร่วมขบวนการล้มเจ้า หลังออกหมายเรียกดาราหนุ่มรุ่นใหญ่ อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง เข้าให้ปากคำ เพราะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไร้มาตรฐานเหมือนกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตหัวหน้าพรรค กมม.โดยไม่ได้ดูเรื่องเจตนา ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้จงรักภักดียอมนิ่งดูดายต่อขบวนการล้มเจ้า
"ผมคิดว่ากรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกให้นายพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง เข้ารับทราบข้อกล่าวหากรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น น่าจะเป็นวาระซ่อนเร้นของทางเจ้าหน้าที่ที่พยายามจะใช้กฎหมายจัดการกับผู้ที่กล่าวถึงสถาบันไม่ว่าจะทางบวกหรือลบ โดยไม่จำแนกแยกแยะ คล้ายกับว่าเป็นมาตรการห้ามทุกคนกล่าวอ้างถึงสถาบัน ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะการกล่าวอ้างถึงสถาบันในทางที่เป็นการเทิดทูนควรจะเป็นนโยบายของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ต้องสนับสนุนส่งเสริม" นายสุริยะใส กล่าว
การออกหมายเรียกนายพงษ์พัฒน์ครั้งนี้คล้ายกับกรณีของนายสนธิที่ถูกอัยการสูงสุดสั่งฟ้องข้อหาหมิ่นฯ กรณีเผยแพร่คำปราศรัยของดา ตอปริโด ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความอ่อนแอของรัฐบาลและกลไกรัฐราชการว่าในที่สุดจะไม่สามารถจัดการกับขบวนการล้มเจ้าได้ เพราะไม่สามารถสร้างแนวร่วมกับประชาชนหรือพสกนิกรที่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว ซ้ำร้ายการพูดถึงพระปรีชาสามารถและพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระองค์ท่านจะทำได้ลำบากมากขึ้นเพราะผู้ที่พูดก็อาจกลัวถูกดำเนินคดี และอาจจะไม่กล้าออกมาต่อต้านขบวนการล้มเจ้าด้วยเช่นกัน
"วิธีการจัดการขบวนการล้มเจ้า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ต้องดูที่เจตนาของผู้พูด เพราะถ้าเป็นการพูดในลักษณะเทิดทูนสถาบันควรจะส่งเสริม ไม่ใช่ให้เจ้าหน้าที่ไปไล่ออกหมายเรียกหรือหมายจับแบบนี้ แทนที่จะเอากำลังหรือเวลาไปดำเนินการกับกลุ่มคนหรือขบวนการล้มเจ้าที่เคลื่อนไหวโจมตีสถาบันกันอย่างเปิดเผยและกว้างขวางในขณะนี้" นายสุริยะใส กล่าว
เลขาธิการพรรค กมม. กล่าวว่า หากการดำเนินการดังหล่าวเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ในการจัดการกับขบวนการล้มเจ้าก็ต้องบอกว่า รัฐบาลและเจ้าหน้าที่กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับของขบวนการล้มเจ้าไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมายไร้มาตรฐานแบบนี้ รัฐบาลต้องทบทวนและควรให้นโยบายกับเจ้าหน้าที่ ถึงหลักปฏิบัติที่เป็นธรรมและเป็นประโยชน์กับการปกป้องสถาบันอย่างถูกทิศถูกทางกว่าที่เป็นอยู่ ไม่เช่นนั้นการจัดการกับขบวนการล้มเจ้าโดยรัฐบาลชุดนี้ก็คาดหวังไม่ได้อย่างแน่นอน