นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือยื่นถึงนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กรณีคู่สมรสได้รับเงินได้พึงประเมินจากค่าบริการบางอย่างตามที่ปรากฎเป็นข่าวเมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ทนายความของนางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต ยอมรับว่ามีการโอนเงินจำนวน 150,000 บาทเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทสโก้โลตัส รังสิต ของนางวรรษมลจริง แต่เงินดังกล่าวไม่ใช่เงินสินบน เป็นเงินค่าบริการบางอย่างที่ไม่สามารถเปิดเผยได้
อย่างไรก็ตาม เงินค่าบริการดังกล่าวย่อมถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับมาในระหว่างปี 2551 ตามความหมายในมาตรา 39 ของประมวลรัษฎากร ที่จะต้องนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาภายในวันที่ 31 มี.ค.52 โดยเงินได้ค่าบริการบางอย่างนั้นพิจารณาจากข่าวแล้วเชื่อได้ว่า น่าจะได้รับมาจากบุคคลอื่นที่มิใช่ในฐานะนายจ้าง จึงไม่เข้าลักษณะเงินได้ประเภทเงินเดือนตามมาตรา 40 (1)
เมื่อข้อเท็จจริงในข่าวปรากฏว่าผู้รับเงินได้ คือ นางวรรษมล เป็นภรรยาของนายธาริต และเงินดังกล่าวที่แจ้งว่าเป็นค่าบริการบางอย่างนั้นควรถือเป็นเงินได้ตามมาตรา 40 (8) ที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 57 ตรี ประกอบมาตรา 57 เบญจ ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินดังกล่าวของภรรยาเป็นเงินได้ของสามี ดังนั้นเงินค่าบริการบางอย่างดังกล่าวจำนวน 150,000 บาท จึงต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของนายธาริตภายในวันที่ 31 มี.ค.52 ซึ่งการเสียภาษีจากเงินได้ค่าบริการบางอย่างนั้นยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงตามข่าวให้ทราบว่า มีการนำไปยื่นแบบเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครบถ้วนตามกำหนดเวลาแล้วหรือไม่ เงินได้พึงประเมินมีข้อยกเว้น หากเงินค่าบริการบางอย่างนั้นเข้าลักษณะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 42 ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดให้เป็นเงินได้ที่ไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษี
นายเรืองไกร ระบุในหนังสืออีกว่า จากการติดตามข่าวผลงานและประวัติของนายธาริตแล้วเชื่อได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมายเป็นอย่างดี ทั้งด้านการศึกษาและการทำงาน โดยเฉพาะในปัจจุบันมีผลงานการตรวจสอบคดีพิเศษเกี่ยวกับเส้นทางเงินในบัญชีของบุคคลและนิติบุคคลหลายกรณี และนางวรรษมลก็เป็นข้าราชการผู้มีความรู้ทางกฎหมายทั้งด้านการศึกษาและการทำงานเช่นเดียวกัน ซึ่งพอเชื่อได้ว่าเงินได้ดังกล่าวน่าจะได้นำไปรวมคำนวณภาษีตามกำหนดเวลาของกฎหมายแล้ว แต่เพื่อความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเกิดความเป็นธรรม จึงควรมีการตรวจสอบการเสียภาษีจากเงินค่าบริการดังกล่าวว่าได้ดำเนินการเสียภาษีอย่างครบถ้วนแล้วหรือไม่
ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดเก็บภาษีเป็นไปโดยครบถ้วนถูกต้อง ซึ่งกรมสรรพากรมีหน้าที่ตรวจสอบการเสียภาษีและเรียกเก็บภาษีในส่วนที่ยังไม่ได้ชำระให้ครบถ้วน โดยผู้ที่ชำระภาษีขาดไปจะต้องเสียเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 พร้อมเบี้ยปรับ(ถ้ามี) ตามที่ประมวลรัษฎากรกำหนด จึงขอทำหนังสือแจ้งเรียนมายัง รมว.คลัง เพื่อพิจารณาตรวจสอบการเสียภาษีจากเงินได้"ค่าบริการบางอย่าง" ของนางวรรษมลที่ได้รับมาเมื่อวันที่ 21 ก.ค.51 นั้น ได้มีการนำเงินได้ดังกล่าวไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของนายธาริตแล้วหรือไม่ หากยังมิได้มีการนำเงินได้ดังกล่าวไปเสียภาษี กรมสรรพากรควรทำหน้าที่เรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วนต่อไป
นอกจากนี้ ควรตรวจสอบถึงเงินได้จำนวนอื่น(ถ้ามี) จากรายการบัญชีเงินฝากธนาคารดังกล่าวด้วยว่า มีเงินได้ค่าบริการบางอย่างหรือเงินได้ประเภทอื่นที่ได้รับมาก่อนหน้าหรือหลังจากวันที่ 21 ก.ค.51 ด้วยหรือไม่ ถ้าหากตรวจพบว่ามีเงินได้จำนวนอื่นในลักษณะเดียวกัน ควรขยายผลตรวจสอบเพื่อเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้ครบถ้วนต่อไป