นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ทำหนังสือถึงประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบการแจ้งบัญชีทรัพย์สิน หนี้สิน และเอกสารประกอบของนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ และ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่าครบถ้วนถูกต้อง หรือมีการยื่นบัญชีทรัพย์สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ อันอาจจะเป็นการกระทำความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 วรรคหนึ่งหรือไม่
เนื่องจากการตรวจสอบข้อมูลการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนายองอาจ ในฐานะ ส.ส.เมื่อครั้งเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเป็นเงิน 34,863,068.73 บาท(โสด) และในฐานะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อเข้ารับตำแหน่งวันที่ 7 มิ.ย.53 มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินเป็นเงิน 47,859,857.22 บาท(ไม่รวมคู่สมรส) จะเห็นได้ว่ามีทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นเป็นเงิน 12,996,788.49 บาท โดยมีการแจ้งว่ามีเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในระหว่างดำรงตำแหน่ง ส.ส.ประกอบด้วย บริษัท เพชรประกาย จำกัด จำนวน 150,000 หุ้น มูลค่า 15 ล้านบาท, บริษัท โอเคพับลิงชิ่ง จำกัด จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่า 1 ล้านบาท และบริษัท โอเคเรียลเอสเตท จำกัด จำนวน 9,994 หุ้น มูลค่า 999,400 บาท
นายเรืองไกร กล่าวว่า จากเอกสารใบสำคัญรับเงินทำให้เชื่อได้ว่านายองอาจได้นำเงินสดจำนวน 15 ล้านบาทไปชำระให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรประกาย เป็นค่าเพิ่มหุ้น เมื่อวันที่ 15 มี.ค.52 ซึ่งเป็นช่วงเวลาขณะที่เป็น ส.ส.และยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรี และจากการตรวจสอบไม่พบความสัมพันธ์ของรายการเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นกับรายการทรัพย์สินอื่นที่ควรจะลดลงหรือสัมพันธ์กับรายได้ต่อปี และไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งรายการหนี้สินไว้แต่อย่างใด ทำให้เกิดข้อสังเกตเบื้องต้นว่า เงินสดที่นำมาลงทุนนั้นได้มาจากที่ใด เพราะในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเมื่อเข้ารับตำแหน่ง ส.ส. นั้นมิได้มีเงินลงทุนส่วนนี้มาก่อน แสดงให้เข้าใจว่า เป็นเงินลงทุนที่ได้มาหลังจากดำรงตำแหน่ง ส.ส. แล้ว แต่ก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีฯ
ดังนั้น เพื่อให้เกิดความถูกต้องในการแจ้งบัญชีทรัพย์สินฯ ป.ป.ช.จะต้องตรวจสอบ ว่า การแจ้งรายการเงินลงทุนในห้างหุ้นส่วนจำกัด เพชรประกาย ที่เพิ่มขึ้นมาจำนวน 15 ล้านบาทนั้นมีที่มาที่ไปโดยชอบหรือไม่ เป็นการเพิ่มขึ้นในรายการทรัพย์สินที่เข้าลักษณะตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ป.ป.ช. หรือไม่