กรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง "ประชาชนต้องการให้เดินหน้าอย่างไรเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ" พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอเกือบทุกประเด็นของคณะอนุกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในชุดที่มีนายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) เป็นประธาน
โดยข้อเสนอของคณะอนุกรรมการฯ เรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ให้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 ได้จัดตั้งรัฐบาลก่อนนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 85.2% แสดงความเห็นด้วย, เรื่องการยุบพรรคการเมือง ในกรณีทำผิดกฎหมายเลือกตั้งตามมาตรา 237 โดยกำหนดให้ลงโทษเฉพาะผู้กระทำผิด ถ้าผู้สมัครทำผิดให้ตัดสิทธิทางการเมืองของผู้สมัคร 5 ปี ถ้ากรรมการบริหารพรรคมีส่วนรู้เห็นให้ตัดสิทธิ 10 ปี และถ้าหัวหน้าพรรคมีส่วนรู้เห็นให้ตัดสิทธิ 15 ปี โดยไม่ต้องยุบพรรคการเมืองนั้น ประชาชนเห็นด้วย 73%
การแยกฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด โดยกำหนดให้คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องลาออกจาก ส.ส.ก่อน ประชาชนเห็นด้วย 72.6%, การเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ให้กลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวเหมือนรัฐธรรมนูญปี 2540 ประชาชนเห็นด้วย 69.7% และการเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ ให้กลับไปใช้รูปแบบบัญชีเดียวทั่วประเทศโดยไม่แบ่งเป็นเขตภาค ประชาชนเห็นด้วย 59.4%
สำหรับสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 74.6% ต้องการให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดำเนินการหลังได้รับรายงานสรุปแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากคณะกรรมการฯ แล้ว คือให้ทำประชามติเพื่อถามความเห็นจากประชาชนก่อน โดยในจำนวนส่วนใหญ่34.5% ต้องการให้ทำประชามติภายใน 3 เดือน
ทั้งนี้ประชาชนส่วนใหญ่ 72.9% ระบุว่าหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ จะส่งผลในทางบวกต่อการเมืองไทย เช่น เกิดการพัฒนาทางการเมือง ทำให้ประเทศไทยมีความสมานฉันท์ ทำให้ทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน และเปิดโอกาสให้ผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานการเมืองได้
เมื่อถามว่าบรรยากาศทางการเมืองในช่วงเวลานี้เหมาะสมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประชาชนส่วนใหญ่ 46% ระบุว่าไม่แน่ใจ ในขณะที่ 27.8% เห็นว่ายังไม่เหมาะสม เพราะปัจจุบันยังมีความคิดต่างกันอยู่ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นมาอีก และควรให้ความรู้แก่ประชาชนก่อน ซึ่งใกล้เคียงกับอีก 26.2% ที่เห็นว่าเหมาะสม เพราะสถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแล้ว และการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะช่วยให้การเมืองมีความชัดเจนยิ่งขึ้น
ผลการสำรวจดังกล่าว มาจากความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปทุกสาขาอาชีพอายุ 18 ปีขึ้นไป อาศัยในกทม.และจังหวัดต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ 21 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 1,249 คน ดำเนินการสำรวจระหว่างวันที่ 28-31 ส.ค.53