นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้ยังมีอวิชาของนักวิชาการบางปีก รวมทั้งแกนนำคนเสื้อแดงบางส่วนที่พยายามบิดเบือนการรัฐประหาร ในลักษณะตัดตอนประวัติศาสตร์ มาเริ่มนับหนึ่งจากวันที่ 19 ก.ย.ที่เกิดการรัฐประหาร โดยไม่กล่าวถึงความเลวของระบอบทักษิณที่เป็นต้นเหตุของการรัฐประหาร จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายว่าที่การแสดงความคิดเห็นของอาจารย์ในรั้วมหาวิทยาลัยกลับเพิกเฉยต่อระบอบทักษิณ และประชาชนจำนวนไม่น้อยถูกครอบงำจากการจัดงานเพื่อระลึกถึงและสรุปบทเรียน ขบวนการเหล่านี้พยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ ไม่มีการพูดถึงความพยายามที่จะหยุดความก้าวร้าวของระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นความจริงที่ต้องพูดกัน อีกทั้งยังก่อให้เกิดบทเรียนของนักประชาธิปไตย นักการเมือง และนักวิชาการ ที่ 4 ปีที่ผ่านมาวาทกรรมประชาธิปไตย และวาทกรรมของเผด็จการ แทบไม่ต่างกันเลย เพราะต่างฝ่ายต่างอ้างประชาธิปไตยเป็นข้ออ้างในการเคบลื่อนไหว ซึ่งตรงนี้ประชาชนต้องแยกแยะถึงรูปแบบของการเคลื่อนไหว ยกตัวอย่างการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์เป็นผลพวงของความเคลื่อนไหวที่ไม่ยึดมั่นในแนวทางประชาธิปไตยทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อสังคม ดังนั้นทุกภาคส่วนต้องสรุปบทเรียนและยอมรับความจริงว่าแนวทางไหนที่ควรสนับสนุนหรือต่อต้าน
ด้านนายสำราญ รอดเพชร รองหัวหน้าพรรค และรักษาการโฆษกพรรค กล่าวว่า หากถามว่าในอนาคตจะเกิดรัฐประหารอีกหรือไม่ คำตอบก็คือยังไม่แน่ เพียงแต่แนวโน้มของสังคมหรือของโลก ทำให้โอกาสจะเกิดขึ้นอีกยากมาก ทั้งนี้หากย้อนหลังดูเหตุการณ์หลังปี 49 มีเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นได้หลายช่วงโดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์ เม.ย. — พ.ค.ที่ผ่านมาที่มีการเผาบ้านเผาเมือง หากเป็นสมัยก่อนมีการรัฐประหารแน่นอน แต่รัฐประหารไม่เกิด สาเหตุหลักเพราะบทเรียนจาก 19 ก.ย.49 ทำให้กองทัพซึ่งไม่เป็นเอกภาพนักหวาดกลัวหรือแหยง
ขณะเดียวกันการต่อต้านการรัฐประหารในขณะนี้ก็เข้มข้นกว่าปี 49 และหลังเดือน ก.ย.53 นี้ กองทัพน่าจะมีความเป็นเอกภาพหรือกระชับอำนาจได้มากกว่าเดิมจากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารที่แล้วเสร็จ หากบ้านเมืองมีเงื่อนไขการทุจริตคอรัปชั่น ความแตกแยก ความรุนแรงเกินพิกัดการรัฐประหารอาจคืนชีพ และหากเกิดขึ้นอีกครั้งอาจเป็นการรัฐประหารที่เด็ดขาด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะนำพาประเทศไทยไปสู่หนใดอยู่ดี ดังนั้น นักการเมืองต้องอย่าทำตัวเป็นเงื่อนไขให้เกิดการรัฐประหาร