พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา(ชทพ.) ระบุหากต้องการให้ความปรองดองเกิดขึ้นทุกคนต้องลืมความหลังแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยหลังจากนี้จะเดินสายพบผู้นำกองทัพ มหาวิทยาลัย พรรคการเมือง และคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพื่อหารือถึงแนวทางการสร้างความปรองดองต่อไป
"จะไปรับฟังทุกฝ่าย ที่ผ่านมาได้ไปพบกับนายณัฐวุฒิ นายสนธิ และพรรคเพื่อไทย พบว่ายังไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ โดยแต่ละฝ่ายได้เล่าประสบการณ์ที่ตัวเองไปพบมา จากนี้ไปจะเดินสายพบกับทุกฝ่าย โดยจะไปพบทุกพรรคการเมือง ทหาร และมหาวิทยาลัย พรุ่งนี้พูดที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเวลา 16.00 น.เพราะเขาต้องการทราบว่า การปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ส่วนมหาวิทยาลัยก็จะไปธรรมศาสตร์ รามคำแหง มันถึงเวลาที่คนไทยทั้งประเทศต้องหันมาร่วมมือกัน ลืมความหลังแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยจะทำเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดก่อนยุบสภา" พล.ต.สนั่น กล่าว
ส่วนการหารือกับแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.) เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.สนั่น กล่าวว่า ได้คุยกันราว 1 ชั่วโมง เป็นการมารับฟังความเห็นและจะเดินหน้าขอฟังองค์กรอื่นๆ ต่อไป เพราะการปรองดองจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องหาจุดกึ่งกลาง พรรคเพื่อไทยไม่มีข้อเรียกร้องและขอให้ตนเองเดินหน้าแก้ปัญหาของประเทศต่อไป การทะเลาะที่เกิดขึ้นมาทำให้เกิดความรุนแรงมากขึ้น หลายเรื่องที่นายจตุพรเล่าให้ฟังนั้นก็จะนำไปประมวลกับหน่วยอื่นๆ ในที่สุดก็ต้องมานั่งคุยกันอีกครั้ง
พล.ต.สนั่น กล่าวว่า คงไม่ฝากอะไรไปถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่จะหาโอกาสไปพบ เพราะหากฝากอะไรไปนั้นเดี๋ยว พ.ต.ท.ทักษิณ จะโมโหอีก ส่วนจะไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อไหร่ยังไม่รู้ เพราะขอทำในประเทศก่อน จะพยายามทำให้เกิดความปรองดองให้เร็วที่สุดเพื่อลดความขัดแย้ง
"ผมพยายามทำถนนไปสู่ความปรองดองให้ได้ เหมือนพระรูปหนึ่งในญี่ปุ่นที่อยู่บนภูเขา โดยพระลงมาบิณฑบาตทุกวันและไม่ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านเลย จนมีคำถามถึงพระว่า ทำไมไม่ไปบิณฑบาตในหมู่บ้านและสร้างถนนขึ้นภูเขาไว้ทำไม พระตอบว่าทำถนนไว้เผื่อชาวบ้านจะขึ้นไปวัดจะได้เดินทางสะดวก การสร้างความปรองดองก็เหมือนการที่พระสร้างถนนเช่นกัน" พล.ต.สนั่น กล่าว
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวว่า ปัญหาของประเทศไทยในขณะนี้จะไม่มีทางหมดสิ้นไปหากยังไม่มีการพูดคุยเพื่อหาทางออกบนพื้นฐานความยุติธรรมและความเสมอภาค ซึ่งส่วนตัวเห็นว่า บทบาทของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา ในการทำหน้าที่เป็นคนกลางประสานทุกฝ่ายมีความเหมาะสมอย่างยิ่ง
"คนที่เป็นตัวกลางต้องไม่มีบุคลิกวิเศษวิโสกว่าคนอื่น และต้องผ่านทั้งความสำเร็จและผ่านความเจ็บปวดของชีวิต ในทางการเมืองพลตรีสนั่นผ่านมาทุกตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ในทางชีวิตพลตรีสนั่นถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2520 พร้อมนายวีระ มุสิกพงษ์ จนถูกปล่อยตัวออกมา ก็เห็นชีวิตเพื่อนเราว่าในเรือนจำเป็นอย่างไร รวมถึงแกนนำ 111 และ 109 ที่ถูกตัดสิทธิ์การเมืองในคดียุบพรรค ซึ่งพลตรีสนั่นก็ผ่านมาแล้วเช่นกัน" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า การที่ พล.ต.สนั่น ผ่านร้อนผ่านหน่าว ย่อมเห็นทั้งความทุกข์ความสุข การพูดคุยวันนี้ไม่มีเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยน ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.ต.สนั่น ได้พบกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่ม นปช.และนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ และพบกับทุกภาคส่วนซึ่งเป็นเรื่องที่ดี และพวกตนเองไม่ขัดข้องที่จะปรองดอง ถ้าจะยึดแนวปฏิบัติตามกฎหมายก็ต้องเท่าเทียมกันหมด หมายถึงฝ่ายที่เข่นฆ่าก็ต้องถูกดำเนินคดีเช่นเดียวกัน ถ้าจะเริ่มต้นประเทศกันใหม่ก็ต้องถอยหลังไปเมื่อวันที่ 19 ก.ย.49 ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหา
"การที่คนๆ หนึ่งได้มาร่วมสนทนากับพวกผมนั้นก็ถือว่าได้ประโยชน์เพราะได้เปิดช่องรูหายใจเล็กๆ ขึ้นมา ยอมรับว่าประเทศนี้หาผู้ใหญ่ยากเต็มทน เหมือนที่นายอภิสิทธิ์บอกว่าปรองดองกับทุกคนได้ยกเว้นผู้ก่อการร้าย ผมก็สวนว่าก็ไม่ขอปรองดองกับอาชญากรฆ่าประชาชน หรือพรรคภูมิใจไทยออกกฎหมายนิรโทษกรรมผู้เข่นฆ่าประชาชน ผมก็เลยสวนไปว่าไม่รับฆาตกรฆ่าคนเหมือนกัน เพราะการนิรโทษกรรมให้คนบริสุทธิ์จะไปนิรโทษกรรมทำไม" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวว่า เชื่อว่าวันหนึ่งข้อเสนอของทุกภาคส่วนจะสามารถหาจุดสมดุลได้ว่าเป็นอย่างไร พรรคเพื่อไทยและตนเองไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง การปรองดองที่จะเกิดขึ้นได้ต้องอยู่บนความยุติธรรม ความเสมอภาค และไม่ละเลยผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ เหมือนอย่างที่หลายคนหวั่นไหวว่า เรามาพูดคุยกันและทุกอย่างจบก็คงไม่ใช่อย่างนั้น
"เห็นด้วยกับสิ่งที่ พล.ต.สนั่น ทำอยู่ วันนี้โลกในประเทศไทยเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอมาก่อน จากนี้ก็ต้องหาจุดสมดุลให้ได้" นายจตุพร กล่าว