โจเซฟ สติกลิทซ์ ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ กล่าวแสดงความคิดเห็นในที่ประชุม World Business Forum ครั้งที่ 7 ที่นิวยอร์กว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐยังสามารถขยายตัวต่อไปได้ แต่ก็ช้าเกินกว่าที่จะกระตุ้นการจ้างงานให้เพิ่มขึ้น และอัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงอาจจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ปกติในสหรัฐในไม่ช้านี้
สติกลิทซ์เตือนว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงเผชิญกับความเสี่ยง และอาจจะเสี่ยงถึงขึ้นที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินฝืดเหมือนในญี่ปุ่น
เมื่อผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวซินหัวถามความคิดเห็นเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี 2553 จนถึงขณะนี้ สติกลิทซ์กล่าวว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับหายนะและยังมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดี แต่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจก็ชะลอตัวมากเกินไปเมื่อเทียบกับจำนวนคนหางานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และอัตราว่างงานก็มีแนวโน้มที่จะยืนอยู่เหนือระดับ 10%
"อัตราว่างงานที่อยู่ในระดับสูงจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ปกติในสหรัฐในไม่ช้านี้" สติกลิทซ์กล่าว
แม้สำนักงานวิจัยเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐ (NBER) ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐได้สิ้นสุดลงแล้วในเดือนมิ.ย.2552 แต่ประชาชนทั่วไปกลับไม่รู้สึกว่าเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และอัตราว่างงานก็ยังคงอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในระหว่างการให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวครั้งนี้ สติกลิทซ์ปฏิเสธข่าวที่ว่าเขาจะก้าวเข้ามารับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติของสหรัฐ แทนนายลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส พร้อมกับเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าทำเนียบขาวจำเป็นต้องมีบุคลากรด้านธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยที่ผ่านมานั้นทำเนียบขาวถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าได้จ้างนักวิชาการเข้ามาทำงานมากเกินไป
"ทำเนียบขาวต้องการบุคลากรทั้งสองกลุ่ม นักวิชาการเป็นนักคิด พวกเขามีเวลาที่จะคิดถึงปัญหาใหญ่ๆที่กำลังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และนักธุรกิจรู้ปัญหาที่แท้จริงที่ประเทศของเรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การแต่งตั้งบุคลากรจากโลกธุรกิจให้ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี" สติกลิทซ์กล่าว สำนักขาวซินหัวรายงาน