นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินบาทคงยังยากที่จะอ่อนค่าลงในขณะนี้ เพราะสาเหตุมาจากผลกระทบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐ แต่ก็คาดหวังว่าเวทีการหารือในระดับนานาชาติทั้งอาเซียน หรือกลุ่มประเทศ G-20 หรือเอเปค จะมีมาตรการออกมาแก้ไขปัญหาค่าเงินที่หลายประเทศกำลังประสบอยู่
"พื้นฐานจริงๆ ผมขอฟันธง ว่าปัญหาอยู่ที่ดอลลาร์ ไม่ได้อยู่ที่เงินสกุลใดสกุลหนึ่งในภูมิภาคนี้" นายกรัฐมนตรี กล่าว
และระบุอีกว่า "หวังว่าในการประชุมทั้งเวทีอาเซียน G-20 และเอเปคจะมีส่วนช่วยกำหนดมาตรการที่ให้ทางสหรัฐฯ ได้รับทราบว่าแนวนโยบายของทางสหรัฐฯ ที่กดอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อหวังจะฟื้นเศรษฐกิจนั้นได้ส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้อย่างไรบ้าง"
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงของไทยในขณะนี้ คงเป็นเรื่องยากที่จะอ่อนค่าลง แต่การใช้ยาแรงก็ไม่น่าจะช่วยแก้ไขได้ ยกตัวอย่างบางประเทศที่พยายามทุ่มเงินสำรองในประเทศไปซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อดูแลค่าเงิน แต่สุดท้ายค่าเงินสกุลนั้นก็ยังแข็งค่าขึ้นอยุ่ดี
นอกจากนั้น ไทยเองก็มีบทเรียนจากวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 40 ที่ทำให้เห็นว่าในที่สุดแล้วคงไม่สามารถเข้าไปฝืนตลาดได้ ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ คือเร่งเข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการเร่งสร้างความต้องการเงินตราต่างประเทศด้วยการออกมาตรการสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักร
อย่างไรก็ตาม นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่เข้าไปสั่งการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ให้ปรับขึ้น หรือลด หรือคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงจะทราบดีว่า การพิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงจะดูเพียงอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องคำนึงถึงการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ และรวมถึงผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนด้วย
"รัฐบาลคงไม่สามารถและไม่ควรจะไปสั่งธปท. ในเรื่องของการขึ้น ลด หรือคงอัตราดอกเบี้ย"นายอภิสิทธิ๋ กล่าวถึงกรณีที่วานนี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรมว.คลัง ได้ออกมาเสนอแนะให้ธปท.ใช้ยาแรงในการแก้ปัญหาเงินบาทแข็งค่า ด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อหยุดยั้งการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ