สมาคมอุตสาหกรรมยางจีนกำลังวิ่งเต้นให้รัฐบาลขายยางธรรมชาติในสต็อกเพื่อทำให้ราคายางมีเสถียรภาพ เนื่องจากราคายางธรรมชาติที่สูงขึ้นมากนั้นเป็นปัจจัยที่คุกคามความอยู่รอดของกลุ่มผู้ผลิตยางรถของจีน
นักวิเคราะห์ชี้ว่า การขายยางธรรมชาติในสต็อกอาจจะช่วยดึงราคาลงได้ในระยะสั้น แต่ไม่สามารถแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาซึ่งก็คือการพึ่งพาตลาดต่างประเทศมากเกินไปได้ ดังนั้น กลุ่มผู้ผลิตยางรถของจีนควรจะเร่งหาทางลงทุนทรัพยากรยางในต่างประเทศ เพื่อที่จะได้มีอำนาจในการควบคุมวัตถุดิบมากขึ้น
ราคายางธรรมชาติทะยาน
ราคายางธรรมชาติดีดตัวเข้าสู่ช่วงขาขึ้นในปีนี้ โดยราคาซื้อขายในตลาดสปอตนั้นปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 30,000 หยวนต่อตันแล้ว ส่วนราคาซื้อขายในตลาดล่วงหน้าก็เคลื่อนไหวในช่วง 31,000 - 32,000 หยวนต่อตัน
หยวน จิง นักวิเคราะห์ของแกแล็คซี่ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า ราคายางที่สูงขึ้นนั้นมีสาเหตุมาจากอุปทานภายในประเทศที่ลดลง สวนทางกับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้น
ยอดขายรถของจีนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ความต้องการยางรถเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาวะแห้งแล้งที่รุนแรงในมณฑลยูนนาน ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน รวมทั้งฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องในมณฑลไห่หนานนั้น ส่งผลให้ผลผลิตยางธรรมชาติปีนี้ลดลงไปกว่า 40,000 ตัน จากระดับ 646,000 ตันในปีที่แล้ว
สำหรับปัจจัยในต่างประเทศนั้น แม้อุปทานยางจากประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีอยู่อย่างล้นเหลือ แต่เม็ดเงินเก็งกำไรที่หลั่งไหลเข้าสู่ภูมิภาคอันเนื่องมาจากค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นในช่วงนี้ ก็อาจจะทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งรวมถึงราคายางธรรมชาติด้วยเช่นกัน
นักวิเคราะห์เปิดเผยว่า อุปทานในต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60-70% ของอุปสงค์ยางธรรมชาติของจีน และอาจจะขยายตัวขึ้นเป็นกว่า 80% ในปีนี้ ซึ่งการพึ่งพาตลาดต่างประเทศสูงทำให้จีนต้องสูญเสียสิทธิในการกำหนดราคาไป
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ซัพพลายเออร์ในต่างประเทศลดราคายางลง เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่แข็งแกร่งของอุตสาหกรรมยางของจีน
นักวิเคราะห์ของซานซี ซิเคียวริตีส์ กล่าวว่า การปรับตัวสูงขึ้นของราคายางธรรมชาติอาจจะดำเนินต่อไปจนถึงช่วงกลางปี 2555 เนื่องจากราคาทรัพยากรธรรมชาติกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น
กลุ่มผู้ผลิตยางรถคาดการณ์กำไรลดลง
ราคายางธรรมชาติที่พุ่งขึ้น ทำให้กำไรของบริษัทผู้ผลิตยางรถที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นลดลงไปด้วย
บริษัท ชิงเต่า ดับเบิล สตาร์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหุ้นเสิ่นเจิ้น ประเมินว่า กำไรสุทธิของบริษัทในช่วงเดือนม.ค. - ก.ย. จะร่วงลงถึง 50-100% ขณะที่บริษัท เจียงซี แบล็ก แคท คาร์บอน แบล็ก ระบุว่า กำไรในช่วง 3 ไตรมาสแรกของบริษัทจะร่วงลง 30% จากช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์ของซานซี ซิเคียวริตีส์ เปิดเผยว่า อัตรากำไรขั้นต้นโดยเฉลี่ยของบริษัทยางรถที่จดทะเบียนในตลาดหุ้น อยู่ที่ 20.37% ในปี 2552 ทั้งปี แต่ตัวเลขดังกล่าวลดลงแตะ 11.55% ในไตรมาสแรกของปี 2553 และลดลงเหลือเพียง 11.1% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงคือ ต้นทุนยางธรรมชาติที่สูงขึ้น
ด้วยเหตุที่อุตสาหกรรมยางรถมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่ในระดับสูง กลุ่มผู้ผลิตยางรถจึงพบว่า การผลักภาระต้นทุนยางธรรมชาติที่สูงขึ้นไปให้กับผู้ผลิตรถนั้นเป็นเรื่องที่ลำบาก โดยกำลังการผลิตส่วนเกินของอุตสาหกรรมยางรถในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 30%
ขณะเดียวกัน จีนเองก็ไม่มียางรถแบรนด์ดังๆ และผู้ผลิตจีนส่วนใหญ่ก็ผลิตยางเรเดียลแบบเหล็กทั้งหมด ขณะที่แบรนด์ต่างชาตินั้นเป็นผู้ครองตลาดยางเรเดียลแบบเหล็กกึ่งที่ใช้กับรถยนต์ระดับท็อป
นโยบายใหม่จะยังไม่ส่งผลในทันที
เมื่อวันที่ 11 ต.ค. กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนได้เผยแพร่นโยบายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยางรถ ซึ่งนโยบายดังกล่าวระบุว่า จีนจะปรับขึ้นเพดานขั้นต้นสำหรับอุตสาหกรรมยางรถ และเพิ่มอัตราการใช้ยางเรเดียลกับผลผลิตยางรถโดยรวม และจะไม่อนุมัติโครงการยางใหม่ๆในปีนี้และปีหน้า อีกทั้งยังจะสนับสนุนบริษัทในจีนให้ตั้งโรงงานผลิตยางรถในต่างประเทศ
ทั้งนี้ กลุ่มผู้สังเกตการณ์ในตลาดมองว่า ในระยะยาวนั้น นโยบายดังกล่าวจะช่วยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยางรถและควบคุมกำลังการผลิตที่สูงเกินไปได้ เมื่อพิจารณาจากกลุ่มผู้ผลิตยางรถที่ไม่สามารถผลักภาระต้นทุนให้กับอุตสาหกรรมปลายน้ำ แต่ผลจากนโยบายจะยังไม่เกิดขึ้นในระยะใกล้นี้ เมื่อพิจารณาจากราคายางธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูงอยู่ในป้จจุบัน ดังนั้น รัฐบาลควรจะร่างมาตรการเฉพาะขึ้นมาสนับสนุนบริษัทในประเทศให้ไปลงทุนในต่างประเทศ
วู เสี่ยวโป สำนักข่าวซินหัวรายงาน