นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า สถานการณ์วิกฤติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม 2553 เป็นต้นมา ได้ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคการเกษตรเป็นหลัก ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรที่เสียหายประมาณ 2.4 ล้านไร่ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบเช่นกันทำให้การผลิตต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์และอุตสาหกรรมยานยนต์
สำหรับภาคบริการและการท่องเที่ยวคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากความเสียหายที่เกิดขึ้นทำให้สถานบริการ เช่น โรงแรม โรงพยาบาล ต้องหยุดให้บริการ
ทั้งนี้ สศค. ได้มีการประเมินแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ก่อนเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมว่าจะขยายตัว 7.6% ต่อปี และความเสียหายจากวิกฤติน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในขณะนี้คาดว่าจะกระทบต่ออัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโดย สศค. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ที่ระดับ 7.4% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม สศค. ได้ประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเบื้องต้นใน 3 กรณี สรุปได้นี้
(1) กรณีต่ำ ประเมินความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำท่วมประมาณ 7,739 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ที่ 0.08% ต่อปี
(2) กรณีฐาน ประเมินความเสียหายประมาณ 11,896 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ที่ 0.13% ต่อปี และ
(3) กรณีสูง ประเมินความเสียหายประมาณ 20,211 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ที่ 0.21% ต่อปี