สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแข็งแกร่งเมื่อคืนนี้ (28 ต.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่ร่วงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ อันเนื่องมาจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 19.90 ดอลลาร์ หรือ 1.5% ปิดที่ 1,342.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,322.90-1,346.20 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 47.10 เซนต์ ปิดที่ 23.875 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 1.2 เซนต์ ปิดที่ 3.7875 ดอลลาร์/ปอนด์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 13.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,692.00 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 10.30 ดอลลาร์ ปิดที่ 629.45 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำเป็นไปอย่างคึกคัก หลังจากดัชนี Dollar Index ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าของสหรัฐ ร่วงลง 0.8% ซึ่งกระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาทองคำอย่างหนาแน่น เพราะดอลลาร์ที่อ่อนตัวลงทำให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้น มีราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น
สภาทองคำโลก (World Gold Council -WSG) กล่าวในรายงานประจำไตรมาส 3 ว่า "ตลาดทองคำจะยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและความสามารถของรัฐบาลในการผลักดันเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว"
รายงานของ WSG ยังระบุด้วยว่า "ตลาดทองคำเคลื่อนไหวในช่วงขาขึ้นมาตลอดช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ และเคลื่อนไหวอย่างสอดคล้องกับระดับเฉลี่ยของในช่วง 5 ปีที่แล้ว นักลงทุนได้เข้าซื้อทองคำปริมาณ 28.3 ตันผ่านกองทุน ETF ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการถือครองทองคำโดยรวมพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดระดับใหม่ที่ 2,070.1 ตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 8.7 หมื่นล้านดอลลาร์"
นอกจากนี้ เทรดเดอร์คาดว่า กระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมสัปดาห์หน้า จะยิ่งหนุนราคาทองคำให้ทะยานขึ้นอีก