นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ) วันนี้รับทราบรายงานสถานการณ์ค่าเงินบาทจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ว่า แนวโน้มค่าเงินสกุลต่าง ๆ ในภูมิภาคยังคงแข็งค่า เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศหลักอย่าง หสรัฐ สหภาพยุโรป และ ญี่ปุ่น ยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ทำให้ค่าเงินสกุลหลักมีการอ่อนค่า ส่งผลต่อเงินสกุลภูมิภาค
แต่แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 16% แต่เมื่อเทียบกับสกุลอื่น เช่น รูเปียของอินโดนีเซีย และริงกิตของมาเลเซีย ค่าเงินบาทยังถือว่าไม่แข็งค่าเกินไป
สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ในภูมิภาค พบว่า ยังอยู่ในระดับต่ำเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาค โดยประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ เวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย จีน และฟิลลิปปินส์
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงกับการส่งออก โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีประเทศคู่แข่งผลิตได้เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งผู้ประกอบการควรมีการทำประกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนและลดระยะเวลารับคำสั่งซื้อล่วงหน้า
ขณะที่การส่งออกของไทย คาดว่ายังเติบโตได้แต่ขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าด้วย โดยค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นยังสอดคล้องกับแนวโน้มการแข็งค่าของสกุลเงินต่างๆ ในภูมิภาค ซึ่ง ธปท.ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้เงินทุนไหลออกได้มากขึ้น และให้หน่วยงานภาครัฐเร่งใช้จ่ายงบลงทุนที่ใช้เงินตราต่างประเทศ
สำหรับมาตรการระยะต่อไปนั้นจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างการผลิตเพื่อปรับปรุงมาตรฐานและคุณภาพสินค้าและเร่งการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต