นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) คาดว่า อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 53 จะอยู่ที่ราว 7.0-7.5% โดยประเมินว่าปัญหาน้ำท่วมจะส่งผลกระทบต่อ GDP ราว 0.3% เท่านั้น แต่ประเด็นที่ท้าทายฝ่ายบริหารคือการรักษาระดับอัตราการเจริญเติบโตให้เป็นไปอย่างยั่งยืน
ขณะที่หลายพื้นที่กำลังประสบปัญหาอุทกภัย รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งเข้าไปกำกับดูแลราคาสินค้า ส่วนสภาพัฒน์จะทำหน้าที่คัดกรองโครงการที่จะเสนอต่อรัฐบาลเพื่อให้พิจารณาช่วยเหลือ
สำหรับในปี 54 สภาพัฒน์จะปรับเวลาในการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจให้เร็วขึ้นจากเดิมราว 1 สัปดาห์ เพื่อให้อยู่ในลำดับต้นๆ ของอาเซียน โดยจะได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และกระทรวงการคลัง นอกจากนี้จะประสานไปยังตลาดทุนเพื่อให้มีการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนให้เร็วขึ้นด้วย
เลขาธิการสภาพัฒน์ กล่าวว่า สิ่งที่ภาคเศรษฐกิจต้องให้ความสำคัญในอนาคต ได้แก่ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน, การขับเคลื่อนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และกระแสโลกเรื่องภาวะโลกร้อน
ขณะเดียวกันสภาพัฒน์มี 5 ภารกิจสำคัญ ได้แก่ การเร่งส่งเสริมธุรกิจโลจิสติกส์ ซึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ตั้งเป้าลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านนี้ลงจาก 19% ของจีดีพี ให้เหลือ 16% ของจีดีพี, การรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจให้มีเสถียรภาพที่ระดับ 7% ต่อปี ด้วยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อลดการพึ่งพาด้านการส่งออก โดยเร่งส่งเสริมเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ การเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน, การปฏิรูปการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพของประชากร, การปรับปรุงงานด้านสุขภาพและสาธารณสุขของประชากร, การดูแลเรื่องสิ่งแวดล้อม