นายวัชระ กรรณิกา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ (ครม.เศรษฐกิจ)รับทราบรายงานสรุปการลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สรุปว่า ขณะนี้การลงทุนของไทยในต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนจากต่างประเทศในไทย
ทั้งนี้ ภาคเอกชนไทยสนใจในการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าซื้อกิจการต่างๆ ในต่างประเทศ แต่ยังขาดความเชื่อมั่นในด้านนโยบายสนับสนุนของรัฐ และการสนับสนุนด้านการเงินของสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบมาตรการส่งเสริมภาคเอกชนไปลงทุนต่างประเทศของจีน มาเลเซียและสิงคโปร์ พบว่า มาตรการส่งเสริมของประเทศดังกล่าวมีเงื่อนไขที่ช่วยให้ภาคเอกชนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่ามาตรการส่งเสริมของไทย ซึ่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้พิจารณาแนวทางการส่งเสริมให้เอกชนลงทุนในต่างประเทศ เช่น สาขาเกษตร สิ่งทอ เป็นต้น และให้ตั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนไทยในต่างประเทศภายใน BOI เป็นการเฉพาะและปรับปรุงมาตรการส่งเสริมให้นักลงทุนไทยไปลงทุนต่างประเทศ เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ มอบหมายให้นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย ทำรายละเอียดมาตรการที่จะลงทุนในต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคว่าควรจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ตั้งข้อสังเกตเรื่องของปัญหาระบบธนาคารกับสินเชื่อ ซึ่งคิดว่าน่าจะมีการปรับปรุงกลไกที่จะช่วยธุรกิจไทยทางด้านนี้ ขณะเดียวกันในบางภาคธุรกิจเมื่อต้องไปแข่งขันในหลายประเทศยังเสียเปรียบอยู่ เนื่องจากในหลายๆ ประเทศจะได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากรัฐบาลเลยซึ่งเรายังไม่มีตรงนั้น
ส่วนเรื่องของภาษี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้มีเพียงแต่ว่าเราได้เสนอกรอบผ่านสภาฯไปแล้วในเรื่องของการไปทำข้อตกลงการเก็บภาษีซ้อน และเรื่องของการคุ้มครองการลงทุน ซึ่งสมัยก่อนเราจะถูกเรียกร้องจากต่างประเทศเรื่องสัญญาคุ้มครองการลงทุนเพราะเขามาลงทุนที่นี่ แต่ปัจจุบันเราไปเจรจากับอีกหลายประเทศเพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองธุรกิจของไทย