สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กทะยานขึ้นหนือแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 1,400 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (8 พ.ย.) และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไรหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบด้วยการซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าจะฉุดค่าเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนตัวลงอีก
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 5.50 ดอลลาร์ หรือ 0.4% ปิดที่ 1,403.20 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 1,386.60 - 1,410.40 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 68.40 เซนต์ ปิดที่ 27.432 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาโลหะทองแดงส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 0.8 เซนต์ ปิดที่ 3.9565 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 2.20 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,771.10 ดอลลาร์/ออนซ์ และสัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 25.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 710.90 ดอลลาร์/ออนซ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ทองคำพุ่งขึ้นเหนือแนวต้านทางจิตวิทยาที่ระดับ 1,400 ดอลลาร์ หลังจากคณะกรรมการเฟดประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง หรือ QE2 ด้วยการอัดฉีดเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เข้าซื้อพันธบัตร แต่การดำเนินการดังกล่าวจะยิ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลงอีก ในขณะที่การอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยหนุนสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงทองคำ
เทรดเดอร์บริษัททองคำในชิคาโกกล่าวว่า แม้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น 0.5% เมื่อคืนนี้ แต่นักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อทองคำอย่างคับคั่งเพราะเชื่อว่า มาตรการ QE2 ของเฟดจะส่งผลให้ปริมาณเงินในระบบของสหรัฐเพิ่มขึ้น และจะกดดันค่าเงินดอลลาร์ในที่สุด
นอกจากนี้ เทรดเดอร์กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่ตลาดทองคำจะได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐบาลจีนจะเข้าซื้อสินค้าโภคภัณฑ์มากกว่าพันธบัตรของสหรัฐ
แนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแอในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยง โดยมีรายงานว่ารัฐบาลไอร์แลนด์พยายามหาลู่ทางที่จะขอความช่วยเหลือจากคณะกรรมการอียูในสัปดาห์นี้ เพื่อปกป้องประเทศไม่ให้เผชิญปัญหาหนี้สาธารณะเหมือนกับกรีซ